ASL ANALYSIS GUIDE

SET index แกว่งตัว sideway ระยะสั้นรอเล่นรอบใหม่ที่ 1,54S-1,540 หากไม่ต่ำกว่าลุ้นรีบาวนด์ทางเทคนิค แนวต้านทดสอบ 1,555-1,560 เป็นกรอบพิจารณา

ประเด็นการลงทุน

1. Update ประชุม ครม. นัดพิเศษ
2. ธปท.เตรียมปรับเป้า GDP ปีนี้ลง

วันนี้เคาะ AWC แนวโน้ม 2H66F คาดว่าจะปรับตัวขึ้นรับ Sentiment เชิงบวกจาก รัฐบาลเตรียมเปิด Free Visa จีน-อินเดีย 1 ต.ค. นี้ซึ่งเป็นช่วงภาคการท่องเที่ยวไทยเข้าสู่ High season ช่วยหนุนให้ Occ. rate และ RevPAR ปรับตัวขึ้น

MARKET STRATEGY

สรุปตลาดวานนี้ SET ปิดที่ 1,548.78 จุด เพิ่มขึ้น 0.92 จุด (+0.06%) มูลค่าซื้อขาย 53,967.86 ล้านบาท แกว่งบวกลบกระจัดกระจาย โดยกลุ่มหนุนดัชนี ได้แก่ กลุ่มพลังงาน รวมทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์และค้าปลีกที่ปรับตัว ขึ้น อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ากดดันดัชนี จากประเด็นนโยบายการลดค่าไฟของรัฐบาล รวมทั้งราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นและกลุ่มไฟแนนซ์ก็ปรับลงแรง

Research Highlight: Update ประชุม ครม. นัดพิเศษ // ธปท.เตรียมปรับเป้า GDP ปีนี้ลง

Update ประชุม ครม. นัดพิเศษ

  • วานนี้มีการประชุม ครม. นัดพิเศษ ได้มีร่างคำแถลงนโยบายของนายกฯเศรษฐาที่จะแถลงต่อรัฐสภาในวันที่ 11 ก.ย. นี้ โดยมีนโยบายเร่งด่วนอย่าง 1.นโยบายการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โดยใช้แอปเป๋าตัง (KTB JMART COM7 CPW ADVANC) คาดเริ่มใช้ 1 ก.พ. 67 2. นโยบายแก้ปัญหาหนี้สินทั้งในภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน (หุ้นอิงกำลังซื้อฐานราก MTC SAWAD TNP CPALL BJC) 3. นโยบายการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในทันที รวมทั้งปรับเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานของประเทศ (CPN CAC CBG CPALL CPAXT) 4. นโยบายผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้กับประชาชน (ASW ERW CENTEL SPA AOT AAV)
  • ด้านงบประมาณที่จะใช้ในการเติมเงิน Digital wallet สูงกว่า 5.4 แสนล้านบาท มองว่ายังอยู่ในกรอบของหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ไม่เกิน 70% (ข้อมูล ก.ค. 66 อยู่ที่ 61.69%, สิ้นปี 65 อยู่ที่ 60.7%) ขณะที่ความเห็นของ ธปท. มองว่านโยบายนี้จะสามารถหนุน GDP ราว 3% ในปี 67F หากทำได้จริงจะทำให้ GDP 67F อาจสูงขึ้นเป็น 6.6% (คาดการณ์เดิม +3.6%, Digital wallet +3%) ซึ่งจะเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจลำดับต้นๆ ของโลก ทำให้แนวโน้ม fund flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง หลังขายสุทธิไปแล้วกว่า 1.36 แสนล้านบาท YTD

ธปท.เตรียมปรับเป้า GDP ปีนี้ลง

  • ธปท.ให้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่องตามภาคการท่องเที่ยว แม้ว่า GDP ไตรมาสที่ 2 ปี 66 ออกมา ต่ำกว่าคาดจากอุปสงค์ต่างประเทศ
  • มีแผนเปลี่ยนจากการดูแลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างไม่สะดุด (Smooth take off) มาเป็นมุ่งเน้นดูแลเศรษฐกิจโดยรวมให้สอดคล้องกับเป้าหมายเงินเฟ้อ (กรอบ 1-3%) และศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว (GDP โตระดับ 3-4%) ซึ่งมองว่ามีแนวโน้มเข้าใกล้จุดสมดุล (neutral) แล้ว
  • โดยมีแนวโน้มที่จะปรับประมาณการเศรษกิจชุดใหม่ในเดือน ก.ย. ซึ่งคาดว่าจะปรับลงจากภาคการผลิต และการส่งออกสินค้าที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด จากการชะลอของเศรษฐกิจจีน และ Global Electronic Cycle ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยว ภาพรวมยังเพิ่มขึ้นได้ตามคาด แม้นักท่องเที่ยวจีนจะฟื้นตัวช้า ส่วนการบริโภคภาคเอกชนรายได้ และการจ้างงานนอกภาคเกษตรอยู่ในทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
  • อย่างไรก็ดี ด้านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมองว่าที่ระดับ 2.25% คือ terminal rate ของวงจรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นแล้ว สะท้อนผ่านอัตราเงินเฟ้อ BM66 ที่ 2% ได้อยู่ในกรอบของธปท.แล้ว ขณะที่มีแนวโน้มปรับ GDP ปีนี้ลง  จึงจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยุงไม่ให้เศรษฐกิจชะลอตัว
  • ทางฝ่ายวิเคราะห์ ASL ได้ประเมินกรณี ธปท. ยังมีมุมมองที่ Hawkish จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 27 ก.ย.เป็น 2.50% (ธปท.เห็นแนวโน้มเศรษฐกิจจีนตัวเด่นชัด หรืออัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้นเกินกรอบเป้าหมาย)
  • จะกระทบต่อ SET Index Target ปีนี้ลงเป็น 1,614 จุด จากเดิม 1,560 จุด ยิง Fwd PE ที่ policy rate02.50% เท่ากับ 14.6 เท่า

วันนี้ติดตาม

  • CH: ดุลการค้าของจีน เดือน ส.ค.
  • EU: ดัชนีจีดีพี (GDP) ไตรมาสที่ 2
  • US: จํานวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก

Investment Strategy

  • ประเมิน SET Index แกว่งตัว sideway ระยะสั้นรอเล่นรอบใหม่ที่ 1545-1540 หากไม่ต่ำกว่าลุ้นรีบาวน์ ทางเทคนิค แนวต้านทดสอบ 1555-1560 เป็นกรอบพิจารณา ส่วนแนวต้าน 1600 ยังมองว่ามีโอกาสทดสอบในช่วง 4Q66F
  • แนะนํา Selective buy รายตัวในหุ้นที่มี 1. มีปัจจัยบวกมหภาคในระยะสั้น (เช่น ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวแรง, หุ้นที่อิงการบริโภคในประเทศจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ) 2. แนวโน้มผลประกอบการ 2H66F ดีกว่า 1H66 และ 3. ราคาปัจจุบันยังมี upside > 15%

Global Markets

(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบ หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีภาคบริการที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งทำให้ตลาดกังวลว่าสหรัฐยังคง เผชิญกับภาวะเงินเฟ้อและอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตรึงดอกเบี้ยที่ระดับสูงต่อไปอีกเป็นเวลานานขึ้น

(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ โดยถูกกดดันจากความวิตก เกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวขึ้นช่วงตลาดหุ้นลงด้วย

(+) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดบวก ขานรับการคาดการณ์ที่ว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะปรับตัวลดลง รวมทั้งข่าวรัสเซียและซาอุดีอาระเบียประกาศขยายเวลาปรับลดอุปทานน้ำมันจนถึงสิ้นปีนี้

(-) สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 2 โดยตลาดยังคงถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน

หุ้นเคาะไป คุยไป..AWC

  • แนวโน้ม 2H66F คาดว่าจะปรับตัวขึ้นหลังผ่านช่วง low season และรับอานิสงส์เข้าสู่ช่วง high season ของธุรกิจ โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพฯ และโรงแรมกลุ่มประชุมสัมมนา (MICE) ขึ้น ขณะที่ค่า Revenue Generation Index (RGI) ในภาพร่วมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง และแนวโน้ม RevPAR และ ADR ที่สูงขึ้น มากกว่าระดับ Pre COVID ส่วนด้านธุรกิจ Retail สามารถเติบโตได้ดี ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวเติบโตของดัชนียอดขายของร้านค้า สะท้อนผ่านจำนวนผู้มาใช้บริการใน โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่นที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ Rental rate ในปัจจุบันอยู่ที่ 1,209 บาท/ตร.ม./เดือน และ Occ rate ที่ 66% ยังต่ำกว่าช่วง Pre COVID ที่ 1,412 บาท/ตร.ม./เดือน และ Occ rate ที่ 91% ทําให้ยังมี room ในการปรับขึ้นต่อ
  • ปัจจุบัน AWC มีจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้นจำนวน 22 โรงแรม รวมจํานวนห้องพักรวม 5,794 ห้อง และจะเพิ่มขึ้นเป็น 23 โรงแรม ภายในสิ้นปี 2566 รวม 6,034 ห้อง คิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้น 76% เมื่อเทียบกับก่อน สถานการณ์โควิด-19 โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย High-to-Luxury ที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่มีการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งมาจากธุรกิจโรงแรมและ retail โดย core EBITDA งวด 1H66 เพิ่มขึ้น 51.7 %YoY AWC รับ Sentiment เชิงบวกจาก รัฐบาลเตรียมเปิด Free Visa จีน-อินเดีย 1 ต.ค. นี้ ซึ่งเป็นช่วงภาคการท่องเที่ยวไทยเข้าสู่ High season ช่วยหนุนให้ Occ. rate และ RevPAR ปรับตัวขึ้น ประกอบกับก.ท่องที่ยวฯ ได้รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยว YTD (1 ม.ค.-3 ก.ย.66) อยู่ที่ 18 ล้านคน (คิดเป็น 63.2% ของเป้าธปท.ที่ 28.5 ล้านคน)
- Advertisement -