บล.บัวหลวง:
Thai Oil (TOP TB /TOP.BK)
TOP – ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นในระยะสั้น CFP จะเป็นตัวหนุนการเติบโตในระยะยาว
เราจัดงานประชุมออนไลน์ให้กับนักลงทุนในประเทศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยนักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกในวงกว้างเกี่ยวกับแนวโน้มค่าการกลั่นและแนวโน้มการเติบโตของ TOP แต่มีความกังวลเกี่ยวกับการรั่วไหลของน้ำมันเมื่อเร็วๆนี้ ประเด็นสำคัญของการประชุมสรุปได้ดังนี้:
ค่าการกลั่นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น HoH ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566
ค่าการกลั่นตลาดน่าจะปรับตัวขึ้น HoH ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 โดยหนุนจากการขยายตัวของอุปสงค์ในขณะที่อุปทานตึงตัว นอกจากช่วงไฮซีซั่นของความต้องการใช้น้ำมันเบนซินจากฤดูขับขี่ในฤดูร้อนของสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มในวันที่ 29 พ.ค. (วันรำลึกถึงผู้พลีชีพเพื่อชาติ) และต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 4 ก.ย. (วันแรงงาน) ความต้องการในช่วงฤดูหนาวจะช่วยหนุนการใช้น้ำมันดีเซลในช่วงหลายเดือนข้างหน้า และความต้องการนํ้ามันเครื่องบินทั่วโลกคาดว่าจะ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 สอดคล้องไปกับการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศทั่วโลกที่กําลังฟื้นตัว
ในด้านอุปทาน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปจะตึงตัวในช่วงฤดูซ่อมบำรุงโรงกลั่นช่วงฤดูใบไม้ร่วง (พีคในเดือน ต.ค.) นอกจากนี้จากสถิติแสดงให้เห็นว่าสินค้าคงคลังสําหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมรวม (โดยเฉพาะน้ำมันเบนซินและ ดีเซล) ในภูมิภาคส่วนใหญ่อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงห้าปี และการส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของจีน (น้ำมันเบนซิน, ดีเซล, และน้ำมันเครื่องบิน) คาดว่าจะลดลง HoH ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 นอกจากนี้ค่าพรีเมียมน้ำมันดิบเฉลี่ย (ต้นทุนน้ำมันดิบ) น่าจะลดลง YoY (ราว 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล) และ HOH (ราว 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล) มาเหลือราว 3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ซึ่งจะหนุนการฟื้นตัวของค่าการกลั่น
อุปทานใหม่จะเป็นปัจจัยกดดันตลาดอะโรเมติกส์และน้ำมันหล่อลื่น
กำลังการผลิตใหม่จำนวนมากทั่วทั้งอุตสาหกรรมจะกดดันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์สายอะโรเมติกส์ในครึ่งหลังของปี 2566 (การขยายตัวของอุปทาน น่าจะมากกว่าการเติบโตของอุปสงค์) นอกจากนี้ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นคาดว่าจะอ่อนตัวลง HoH ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 กดดันจากกำลังการผลิตใหม่และต้นทุนวัตถุดิบ (น้ำมันเตากำมะถันสูง) ที่สูงขึ้น
โครงการพลังงานสะอาด (CFP) และ CAP จะหนุนมูลค่าในระยะยาว
การลงทุนอย่างต่อเนื่องของ TOP ใน “โครงการพลังงานสะอาด” (CFP) แล้วเสร็จไปแล้ว 92.8% ณ เดือน ก.ค. 2566 (คาดว่าจะเริ่มทดลองเดินเครื่องได้ในไตรมาส 1/67 และดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2568) ทั้งนี้ความยืดหยุ่นที่ เพิ่มขึ้นของวัตถุดิบที่นำเข้ากลั่นและการอัพเกรดผลิตภัณฑ์ คาดว่าจะส่งผลให้ค่าการกลั่นของบริษัทเพิ่มขึ้น 4-5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นอกจากนี้ หลังจากที่ TOP เข้าซื้อหุ้น 15% ใน PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ซึ่งเป็นผู้ผลิตปิโตรเคมีครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของประเทศอินโดนีเซีย ในเดือน ก.ย. 2564 CAP ได้ขยายความหลากหลายของธุรกิจไปสู่อุตสาหกรรมไฟฟ้าและน้ำเพื่อกระจายแหล่งรายได้ รวมทั้งกำลังวางแผนที่จะขยายห่วงโซ่เอทิลีนไปยัง คลอร์อัลคาไล (CA) และเอทิลีนไดคลอไรด์ (EDC) นอกจากนี้ TOP ยังศึกษาโอกาสในการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ โดยมุ่งเน้นไปที่ 1) ผลิตภัณฑ์/ธุรกิจที่มีมูลค่าสูง เช่น สารฆ่าเชื้อโรค/สารลดแรงตึงผิว, 2) ไบโอเจ็ท/เคมี ชีวภาพ/ พลาสติกชีวภาพ, และ 3) ไฮโดรเจน/CCS/CCU เพื่อหนุนการเติบโตของกำไรในระยะยาว
อัพเดทเกี่ยวกับประเด็นน้ำมันรั่วไหล
เมื่อวันที่ 3 ก.ย. ได้เกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือบรรทุกน้ำมัน ขณะขนถ่ายน้ำมันดิบบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเล (Single Buoy Mooring) ที่โรงกลั่นน้ำมันของ TOP ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ผู้บริหารได้ดำเนินการทันทีเพื่อบรรเทาความเสียหาย โดยปัจจุบันไม่พบคราบน้ำมันขนาดใหญ่แล้ว การรั่วไหลของน้ำมันไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยต่อการดำเนินงานของโรงกลั่น จากมุมมองทางการเงิน TOP จะบันทึกค่าใช้จ่ายจริงที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์รั่วไหลนี้ในงบการเงินไตรมาส 3/66 และเรียกร้องเงินชดเชยจากผู้ให้บริการประกันภัย โดยมีความคุ้มครองดังต่อไปนี้ 1) ประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิด ซึ่งประกอบด้วยประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินและการหยุดชะงักของธุรกิจ (1,377 ล้านเหรียญสหรัฐ, ความรับผิดส่วนแรกอยู่ที่ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 60 วัน), 2) ประกันภัยการขนส่งสินค้าทางทะเล (ทุนประกันสูงสุด 310 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อ 1 เที่ยวของการขนส่งน้ำมันดิบ, ความรับผิดส่วนแรกคิดเป็น 0.5% ของมูลค่าน้ำมันดิบที่ขนส่ง), 3) ประกันภัยความรับผิดต่อสิ่งแวดล้อม (25 ล้านเหรียญสหรัฐ, ความรับผิดส่วนแรก 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อหนึ่งเหตุการณ์), และ 4) ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก (50 ล้านเหรียญสหรัฐ, ความรับผิดส่วนแรก 10,000 เหรียญสหรัฐต่อหนึ่งเหตุการณ์)
