บล.บัวหลวง:
Bank – อาจมีอัพไซด์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล (OVERWEIGHT)
ธนาคารต่างๆ จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาล และนโยบายอื่นๆ ที่มุ่งส่งเสริมการเติบโตของ GDP ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 ปัจจุบันเราเห็นอัพไซด์ 5-10% ต่อประมาณการกําไรของเรา ไม่ว่าในกรณีใด กลุ่มธนาคารจะเป็นผู้เล่นอันดับต้นๆ ในไตรมาส 4/66 ทั้งจากช่วงฤดูกาลและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจหนุนกลุ่มธนาคารต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567
NIM ของกลุ่มธนาคารจะขยายตัวในไตรมาส 4/66 หนุนโดยคาดการณ์แนวโน้ม One-day Repurchase Rate ของ BOT ที่สูงขึ้น เราคาดอัตรา Repo จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 25bps มาอยู่ที่ 2.5% ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของ ธปท. ในวันที่ 27 ก.ย. นอกจากนี้เรายังคาดว่า GDP จะเติบโตเร็วขึ้นในช่วงไตรมาส 4/66 ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนจากจํานวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและการฟื้นตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค การใช้จ่ายของผู้บริโภคจะได้รับแรงหนุนโดยตรงจากนโยบายของรัฐบาลใหม่ เช่น การให้เงินสดในกระเป๋าเงินดิจิทัลมูลค่า 10,000 บาท และทางอ้อมจากการท่องเที่ยวขาเข้าที่เพิ่มขึ้นมาก YoY และ QoQ (หนุนโดยวีซ่าฟรีสําหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน) เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจะหนุนอุปสงค์สินเชื่อ และการเติบโตของสินเชื่อของกลุ่มธนาคารที่เราให้คำแนะนำในไตรมาส 4/66 จะได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์เงินทุนหมุนเวียน (บริษัท) และสินเชื่อผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล
สถานการณ์กรณี Bull-case มีแนวโน้มเกิดขึ้นมากกว่ากรณี Bear-case สําหรับธนาคารใหญ่
ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะผันผวนในไตรมาส 4/66 เราจึงทำการวิเคราะห์สถานการณ์ทําไรสุทธิ กรณี Bull-case และ Bear-case ในปี 2566 ของหุ้นกลุ่มธนาคารที่เราให้คำแนะนำ การเติบโตของสินเชื่อ, NIM, อัตราการตั้งสํารอง, อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ และกําไรจากเครื่องมือทางการเงินจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อผลกําไรในปี 2566 ภายใต้สถานการณ์ Bull-case ของเรา NIM อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้และกำไรจากเครื่องมือทางการเงินจะดีกว่าเราคาด ดังนั้น กําไรสุทธิรวมจะสูงกว่าประมาณการกรณีพื้นฐานของเรา 20% ภายใต้สถานการณ์ Bear-case ของเรา การเติบโตของสินเชื่อและอัตราการตั้งสํารองจะแย่กว่าที่เราคาด ดังนั้นกำไรรวมจะต่ำกว่าประมาณการกรณีพื้นฐานของเราที่ 11.7%
เรามองว่าสถานการณ์กำไรสุทธิ กรณี Bull-case ในปี 2566 มีแนวโน้มเกิดขึ้นมากกว่ากรณี Bear-case สำหรับธนาคารใหญ่ เนื่องจากเราคาด NIM อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ และกําไรจากราคาตลาดจากเครื่องมือทางการเงินค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ดังนั้นเราจึงเห็นแนวโน้มอัพไซด์ 5-10% ต่อประมาณการกำไรของเราสําหรับธนาคารใหญ่ 5 แห่ง (BBL, KBANK, KTB, SCB และ TTB) การวิเคราะห์สถานการณ์ของเราชี้ให้เห็นว่ากำไรปี 2566 ของธนาคารขนาดเล็ก (KKP และ TISCO) มีขอบเขตทั้งอัพไซด์และดาวน์ไชด์น้อยกว่าธนาคารขนาดใหญ่
มูลค่าหุ้นถูก โดยเราชอบ BBL และ SCB มากที่สุดในกลุ่ม
ธนาคารทั้ง 7 บริษัทที่เราให้คำนำแนะมีค่าเฉลี่ย PER ปี 2566 ที่ 8.6 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ ของกลุ่มธนาคารที่เราให้คำแนะนำอยู่ 1.0 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) และเราคาดการณ์อัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีของกำไรปี 2566-68 ที่ 10.7% ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน PEG ที่ 0.8 เท่า โดยค่าเฉลี่ย PBV ณ สิ้นปี 2566 อยู่ที่ 0.9 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีอยู่ 0.7 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) ซึ่งถือว่าราคาถูก เรายังคาดอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยที่ 5%