นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาภาพรวมตลาดการลงทุนอาจจะเผชิญกับความผันผวนอยู่บ้าง แต่เศรษฐกิจโลกก็ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จึงควรเน้นหาโอกาสการลงทุนไปตามประเด็นขับเคลื่อนใหญ่ๆ เช่น ภาวะดอกเบี้ยสูง ผลพวงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และการสูงวัยของประชากร เป็นต้น ประกอบกับเงินเฟ้อโดยรวมยังคงลดลงถึงแม้ว่ายังสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางต่างๆ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวในระดับสูงไปอีกระยะหนึ่ง แต่นักลงทุนที่ยังต้องลงทุนในกองทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีก็ยังคงต้องลงทุนอย่างมีวินัยอย่างต่อเนื่อง จึงได้แนะนำกองทุนสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนเพื่อใช้ลดหย่อนภาษี อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยเสริมพอร์ตให้มีโอกาสเติบโตในระยะยาว ประกอบด้วย

กลุ่มกองทุนตราสารหนี้ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการพักเงินเพื่อรอจับจังหวะในการลงทุน หรือไม่ต้องการรับความเสี่ยงมากนัก พร้อมทั้งรองรับกับสถานการณ์ในช่วงดอกเบี้ยที่ทยอยปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต โดยแนะนำ กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF2) (กองทุนระดับความเสี่ยง 4) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ หุ้นกู้ และตราสารหนี้อื่น ๆ รวมทั้งเงินฝากโดยจะปรับสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้แต่ละประเภทข้างต้นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา ส่วนกองทุนชนิดเพื่อการออมแนะนำ กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ พลัส (ชนิดเพื่อการออม) (KTFIXPLUS-SSF) (กองทุนระดับความเสี่ยง 4) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั้งใน และ/หรือต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศไม่เกินร้อยละ 50 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน

กลุ่มกองทุนหุ้น แนะนำ กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีประวัติการจ่ายปันผลดี ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงไทย หุ้นไฮดิวิเดนด์ เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-HiDiV RMF) (กองทุนระดับความเสี่ยง 6) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีประวัติการจ่ายปันผลที่ดี สม่ำเสมอ และ/หรือมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลในอนาคต ส่วนกองทุนชนิดเพื่อการออมแนะนำ กองทุนจะลงทุนในบริษัทที่มีหลักธรรมาภิบาลที่ดีทั่วโลก ได้แก่ กองทุนเปิดเคแทม Global Sustainable Growth Equity (KT-GESG-SSF) (กองทุนระดับความเสี่ยง 6) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Schroder International Selection Fund Global Sustainable Growth (กองทุนหลัก) เพียงกองเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ซึ่งกองทุนหลักมีนโยบายบริหารแบบเชิงรุก โดยจะเน้นลงทุนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนในตราสารทุนหรือหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนของบริษัททั่วโลกที่มีหลักธรรมาภิบาลที่ดีตามเกณฑ์ของผู้จัดการการลงทุน

นอกจากนี้ ยังเห็นโอกาสจากการลงทุนในประเทศเวียดนาม โดยมองว่าเวียดนามจะยังคงเติบโตได้ดี เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆจากการเติบโตในภาคการผลิต การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) นโยบายการกระตุ้นจากภาครัฐ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อีกทั้งเวียดนามยังมีศักยภาพการเติบโตโดดเด่นระดับแถวหน้าของภูมิภาคและของโลก ด้วยความได้เปรียบด้านโครงสร้างประชากรวัยทำงาน ค่าแรงยังไม่สูงทำให้ต้นทุนการผลิตถูก ขณะรัฐบาลเดินหน้าปฏิรูปและพัฒนาหลายด้าน จึงได้แนะนำ กองทุนเปิดเคแทม เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดเพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-VIETNAM RMF) (กองทุนระดับความเสี่ยง 6) และกองทุนเปิดเคแทม เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดเพื่อการออม (KT-VIETNAM-SSF) (กองทุนระดับความเสี่ยง 6) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียน และ/หรือบริษัทที่ดําเนินธุรกิจ หรือมีรายได้หลัก และ/หรือที่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจากประเทศเวียดนาม โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV

และอีกกองทุนที่มีโอกาสเติบโตอย่างโดดเด่น ได้แก่ กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เฮลธ์แคร์ ฟันด์ เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-HEALTHC RMF) (กองทุนระดับความเสี่ยง 7) และกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เฮลธ์แคร์ ฟันด์ (ชนิดเพื่อการออม) (KT-HEALTHCARE-SSF) (กองทุนระดับความเสี่ยง 7) ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Janus Henderson Global Life Sciences Fund (Master Fund) เพียงกองเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยกองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต (Life Sciences) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษาหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมถึงบริการทางการแพทย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสังคมผู้สูงวัยในอนาคต ทำให้ธีมการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้เหมาะสมกับการลงทุนในระยะยาวได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาหุ้นกลุ่มสุขภาพที่ยังมีความน่าสนใจ เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งวิ่งนำไปไกลด้วยกระแส AI จนหลายตัวอาจจะแพงเกินมูลค่าแล้ว ประกอบกับกลุ่ม Health Care เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างทนทานภาวะเศรษฐกิจ มีปัจจัยขับเคลื่อนระยะยาว

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกวันทำการได้ที่ บลจ.กรุงไทย โทร. 0-2686-6100 กด 9 หรือธนาคารกรุงไทย และผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (ถ้ามี) หรือศึกษารายละเอียดได้ที่ www.ktam.co.th สนใจเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชั่น KTAM Smart Trade ได้ที่ https://bit.ly/KTSTSignIn

ปัจจัยความเสี่ยงของกองทุนที่สำคัญ : ความเสี่ยงทางตลาด ความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาตราสาร ความเสี่ยงจากการดําเนินงานของผู้ออกตราสาร ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องของตราสาร ความเสี่ยงจากความสามารถในการชําระหนี้ของผู้ออกตราสาร ความเสี่ยงจากการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ ความเสี่ยงของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนในอุตสาหกรรมหรือเฉพาะกลุ่มธุรกิจ ความเสี่ยงของตลาดเกิดใหม่ ความเสี่ยงของประเทศที่ลงทุน ความเสี่ยงจากข้อจํากัดการนําเงินลงทุนกลับประเทศ ความเสี่ยงที่เกิดจากการย้ายการลงทุนไปกองทุนอื่น ความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวของการลงทุน ความเสี่ยงจากการลงทุนในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่นํ้าโขง (เฉพาะกองทุน KT-VIETNAM RMF และ KT-VIETNAM-SSF) และความเสี่ยงที่เกิดจากกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในหลักทรัพย์ของต่างประเทศ ความเสี่ยงที่เกิดจากการได้รับชําระเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศล่าช้า ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงในเรื่องคู่สัญญาในการทําสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (ยกเว้นกองทุน RMF2 และ KT-HiDiV RMF)

คำเตือน กองทุนมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน (ยกเว้นกองทุน RMF2 และ KT-HiDiV RMF) ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน SSF และ RMF และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ หากลงทุนไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด อาจต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเสียเงินเพิ่ม

 

- Advertisement -