น้ำมัน ประกัน และธนาคาร / 1490-1.510

มุมมองตลาดหุ้นวันนี้

  • SET ไปไหนไม่ไกล: หลังวานนี้ กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 2.5% ตามที่ทางฝ่ายคาด และมีโอกาสคงดอกเบี้ยในระดับนี้ข้ามไปปีหน้า พร้อมปรับลดคาดการณ์การขยายตัว GDP ปีนี้จาก 3.6% เหลือ 2.8% โดยยังมองแรงส่งสำคัญมาจากการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่ภาคการส่งออกอ่อนแอส่วนหนึ่งมาจากเศรษฐกิจจีนและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ โลกที่ฟื้นตัวช้าส่วนการท่องเที่ยวพื้นตัวได้ช้ากว่าคาด แต่มองปี 67 เศรษฐกิจไทยจะเติบที่ 4.4% จากอุปสงค์ภายในประเทศ การท่องเที่ยวและการส่งออกที่กลับมาขยายตัว นอกจากนี้ยังปรับลดจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าไทยปีนี้ลงจาก 29 ล้านคน เหลือเพียง 28.5 ล้านคน โดยรวมจึงอาจคาดหวังการฟื้นตัว เดือน ส.ค. ที่ประกาศออกมาในทิศทางชะลอตัวสู่ระดับ 105.5 จุดจากเดือนก่อนที่ 114 จุด โดยชาวสหรัฐฯยังกังวลในปัญหาอัตราเงินเฟ้อ การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลาง และ Recession มองมีโอกาสกดดัน GDP ลง เนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนสหรัฐฯคิดเป็นกว่า 68.3%ของ GDP และอาจทำให้เฟตมีมุมมองที่เปลี่ยนไปต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นทำนิวไฮในรอบปีแตะระดับ $93 ต่อบาร์เรล หลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐวานนี้ออกมาที่ -2.170 ล้านบาร์เรล ติดลบมากกว่าที่ตลาดคาดที่ -1.320 ล้านบาร์เรล สะท้อนอุปสงค์พลังงานที่แข็งแกร่ง มองเป็นบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น  ภายในจากภาคการท่องเที่ยวได้น้อย แต่มองการใช้จ่ายภาคเอกชนยังเป็นบวกต่อกลุ่ม COMM ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็นประโยชน์ต่อกลุ่ม BANK และ INSURE ด้านปัจจัยภายนอกตลาดให้น้ำหนักกับการประกาศตัวเลข GDP สหรัฐฯ 2Q66 และการประชุม Town Hall ที่ประธานเฟดจะจัดขึ้นในคืนนี้โดย GDP สหรัฐฯคาดจะขยายตัว 2.2% ท่ามกลางตัวเลข Consumer Confidence
  • กลยุทธ์การลงทุน : 1) Defensive play: BCPG, BDMS, BH, INTUCH 2) ดอกเบี้ยขาขึ้น: BBL, KBANK, TLI, BLA 3) บาทอ่อนค่า : TU, SAPPE 4) พลังงาน: PTTEP, BCP, TOP, SPRC 5) เก็งงบ 3Q66 : ADVANC, SPALI,BA, ORI, AOT

ปัจจัยบวก

  • สหรัฐจ่อไฟเขียวผู้ผลิตชิปเกาหลีใต้ส่งอุปกรณ์ผลิตไปจีนได้อย่างไม่มีกำหนด ลดความกังวลด้าน Political Risk ลง
  • ธนาคารกลางจีนเผย จะผลักดันการลงทุนของรัฐบาล และใช้นโยบายกระตุ้นการลงทุนในภาคเอกชน อีกทั้งจะส่งเสริมการฟื้นตัวของเงินเฟ้อจากราคาผู้บริโภคซึ่งอยู่ที่ระดับต่ำในขณะนี้ พร้อมชี้เศรษฐกิจภายในประเทศของจีนยังคงฟื้นตัวและมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น
  • อินเดีย เล็งฟื้นฟู FTA กับไทย พร้อมชูเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค
  • กำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมจีนพุ่งขึ้น 17.2% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยตัวเลขกำไรฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่ปรับตัวลง 6.7% ในเดือนก.ค. และลดลง 8.3% ในเดือนมิ.ย.

ปัจจัยลบ

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ภาพรวมการส่งออกไทยปี 2566 จะหดตัวที่ -2.5% (YoY) ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า มองปัญหา การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของค่าเงิน สภาพอากาศที่แปรปรวน และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ยังกดดัน
  • “พาวเวล” ประชุมทาวน์ฮอลล์วันที่ 28 ก.ย. ตลาดเกาะติด สัญญาณทิศทางดอกเบี้ยเฟด หลังการประชุมครั้งล่าสุดเฟดส่งสัญญาณว่า อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ
  • กนง.ปรับลดคาดการณ์นักท่องเที่ยวเข้าไทยปี 66 เหลือ 28.5 ล้านคน จากเดิมคาดนักท่องเที่ยวเข้าไทย 29 ล้านคน พร้อมปรับลด GDP ปี 66 เหลือโต 2.8% จากคาด 3.6%

PICKS OF THE DAY

BBL BUY

  • เป้าหมาย 170.00 / 174.00 แนวรับ 160.00 / 162.00
  • คาดกำไร 3Q66 เด่นสุด y-y: คาด BBL จะมีกำไร 9.9 พันลบ. เพิ่มขึ้นถึง 29.1% y-y ถึงแม้สินเชื่อจะหดตัวลง แต่รายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมาก และการตั้งสำรองที่ลดลงทำให้กำไรเพิ่มสูงขึ้น
  • คาดได้ประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ยต่อ: จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีกของ กนง. คาดว่าจะทำให้กลุ่มธนาคารรวมไปถึงกลุ่มธนาคารจะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นต่อเนื่องไปอีก นอกจากนี้จากการวิเคราะห์ของทางฝ่ายมองว่าจากโครงสร้างสินเชื่อ และโครงสร้างเงินฝากของ BBL จะทำให้ BBL เป็นธนาคารที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นมากที่สุด

BDMS BUY

  • เป้าหมาย 28.50 / 29.50 แนวรับ 26.50
  • รายได้COEยังคงโตแกร่ง:ใน 1H66 รายได้จาก COE โต 13%y-y โดยสัดส่วนรายได้คิดเป็น 60% ของรายได้รวมจาก47%ใน1H65 สะท้อนการเติบโตที่แข็งแกร่งของรายได้กลุ่มโรครักษายาก จาก Success rate ที่สูงและค่ารักษาต่ำกว่าฝั่งยุโรปและสิงคโปร์ ส่งผลให้สัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 30% เหมือนในช่วงก่อน Covid และมีมาร์จิ้นที่ดีขึ้นใน 2H66
  • Defensive Stock: ปัจจุบัน มีค่า Beta = 0.73 ซึ่งต่ำกว่า 1 เป็น Defensive Stock เหมาะแก่การลงทุนในช่วงผันผวน
- Advertisement -