KS Daily View 05.10.2023 >>> คาดดัชนีปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 1,460 จุด จาก US 10Y bond yield ปรับลดลงหลังตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ ภาคเอกชนต่ำคาด และราคาน้ำมันปรับฐาน หุ้นแนะนำเก็งกำไร TIDLOR, GPSC
สรุปภาวะตลาดเมื่อวันวานนี้
- ต่างประเทศ: ดัชนี DJIA +0.39%, S&P 500 +0.81%, NASDAQ +1.35%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ Consumer Discretionary (+1.97%), Communication services (+1.28%), และ Materials (+1.19%) ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่ Energy (-3.36%)
- ในประเทศ: SET Index +3.95 จุด หรือ +0.27% ปิดที่ 1,451.25 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ BLA (+5.45%), SJWD (+4.26%), TIPH (+3.65%), FORTH (+3.64%) ส่วนที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ ERW (-6.25%), AAV (-5.26%), SABUY (-3.76%), AWC (-3.70%) เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
มองแนวโน้มหลักดัชนีปรับตัวขึ้นในวันนี้จาก sentiment บวกของตลาดหุ้นในต่างประเทศ หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวลงกว่า 7bps. จากการตีความของตลาดว่า “ข่าวร้ายด้านตัวเลขเศรษฐกิจ ถือเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้น เพราะธนาคารกลางจะได้ผ่อนคลายนโยบายการเงิน” จากรายงานตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ ออกมาต่ำคาด นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบ Brent ที่ลดลงกว่า -5.6% DoD มาที่ระดับ US$85.81/bbl ก็ช่วยคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อด้านอุปทานด้วย จากการประเมิน Shock model ของเราพบว่าหากราคาน้ำมันดิบ Brent ยืนในกรอบ US$80-90/bbl ในปีหน้าจะทำให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับตัวลงต่ำกว่า 3% ภายใน 1H24 หนุนโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดว่าจะเป็น 4Q24 นอกจากนี้เรามองว่าการที่ดอกเบี้ยในต่างประเทศลดลง และราคาน้ำมันอ่อนตัวจะช่วยคลายความกังวลของตลาดเรื่องภาระทางการคลังของรัฐบาลไทยที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย สำหรับ Flow ในวันนี้คาดว่าจะมีการสลับกลุ่มเล่น โดยขายทำกำไรบางส่วนใน กลุ่มพลังงาน/ประกัน/ธนาคาร/โรงพยาบาล/สื่อสาร สลับมาซื้อตัว Laggard อย่าง กลุ่มการเงิน/โรงไฟฟ้า/ปั๊ม
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
- สหรัฐฯรายงานการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ (US ADP employment) เดือน ก.ย. ออกมาที่ 89k ตำแหน่ง ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 150k ตำแหน่ง ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 177k ตำแหน่ง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 2 ปี ปรับตัวลง 9bps. เป็น 5.054% และ 10 ปี ของสหรัฐฯ ปรับตัวลง 7bps. เป็น 4.735% มองเป็น sentiment บวกกับกลุ่มการเงิน, โรงไฟฟ้า, และ REITs
- ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลง US$5 หรือ -5.6% DoD เป็น US$85.81/bbl หลังสหรัฐฯรายงานตัวเลขน้ำมันเบนซินคงคลังพุ่งขึ้น 6.5 ล้านบาร์เรลมากกว่าคาดที่ 2 แสนบาร์เรล ทำให้ตลาดกังวลอุปสงค์ที่อ่อนตัวหลังราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมา แม้ช่วงค่ำวานนี้ทางกลุ่ม OPEC+ จะคงมติการลดกำลังการผลิตไว้ตามเดิม โดยซาอุฯ คงเป้าลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนรัสเซียจะลดส่งออกน้ำมันดิบ 3 แสนบาร์เรลต่อวัน มองราคาน้ำมันที่ลดลงเป็นลบกับกลุ่มพลังงาน
- ราคาข้าวสาลีปรับตัวลงต่ออีก -1.50% DoD เป็น $560/bushel และปรับตัวลงแล้วกว่า -30% YTD ทำจุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี จากอุปทานของรัสเซียเพิ่มขึ้น การกลับมาเจรจาเพื่อเปิดให้มีข้อตกลงส่งออกธัญพืชทางทะเลดำในวันนี้ รวมถึง USDA ปรับเพิ่มคาดการณ์ผลผลิต และระดับ Global inventory สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะปรับลดลง มองเป็น sentiment บวกกับบริษัทที่ใช้ข้าวสาลีเป็นวัตถุดิบ เช่น RBF, NSL, และ TFMAMA เป็นต้น
- ETSMOTS รายงานจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงวันที่ 25 ก.ย.-1 ต.ค. ที่ 552,419 คน เพิ่มขึ้น 15% WoW หลังเริ่มใช้มาตรการฟรีวีซ่าสำหรับ นทท.จีนและคาซัคสถาน โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยมีจำนวน 106,472 คน เพิ่มขึ้น 72% WoW นอกจากนี้ทางผู้บริหารของทราเวลโลก้ายังไม่เห็นแนวโน้มรูปแบบของการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป และเชื่อมั่นว่านักท่องเที่ยวยังอยากเที่ยวไทย แม้เกิดเหตุยิงกลางห้างพารากอน มองกลุ่มท่องเที่ยว และขนส่งมีโอกาสฟื้นตัวในระยะถัดไป
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
ปรับแนวรับลงมาที่บริเวณ 1,430 จุด หลัง SET Index หลุดแนวรับสำคัญที่ 1,460 จุดลงมา มองกรอบการเคลื่อนไหวช่วงที่เหลือของสัปดาห์ที่ 1,430 – 1,490 จุด ทั้งนี้ sentiment การลงทุนในหุ้นไทยยังคงเปราะบาง โดยปัจจัยสำคัญในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ ตลาดจะให้น้ำหนักกับตัวเลขตัวเลขเงินเฟ้อของไทยที่จะรายงานในวันพฤหัสฯ รวมถึงตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่เฟดใช้กำหนดนโยบายการเงินใน 4Q23
หุ้นแนะนำวันนี้
- Top pick: TIDLOR (ราคาพื้นฐาน 31.40 บาท) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงกว่า -31% YTD vs. กลุ่มการเงิน -25% จากความกังวลเรื่องแนวโน้มผลประกอบการที่ถูกกดดันจากการก่อตัวของ NPL และ credit cost รวมถึงต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น ทำให้กำไรปีนี้คาดจะโตเพียง 3.6% YoY เป็น 3.8 พันลบ. (คิดเป็น 1.34 บาทต่อหุ้น) นอกจากนี้คาดว่า TIDLOR มีโอกาสที่จะหลุดจาก SET50 ในรอบ 1H24 เนื่องจาก Market cap. ปัจจุบันลดลงเหลือ 61,087 ลบ. อยู่อันดับที่ 52 ห่างจากอันดับที่ 49-50 คือ SAWAD และ ITC ที่มี Market cap. 62,762 ลบ. และ 62,152 ลบ. ดังนี้จึงต้องลุ้นถึงสิ้นเดือน พ.ย. ว่าอันดับจะขยับขึ้นไปเหนือที่ 50 ได้หรือไม่ โดยเบื้องต้นมองว่าวันนี้หุ้นมีโอกาสฟื้นตัวจากการ rotation ของนักลงทุนเข้าหุ้น Laggard จากธีม US 10Y bond yield อ่อนตัวลง
- Top pick: GPSC (ราคาพื้นฐาน 80 บาท) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงกว่า -40% YTD vs. กลุ่มพลังงาน -19% จากความกังวลเรื่องแนวโน้มผลประกอบการที่ถูกกดดันจาก Policy risk ที่ปรับลด Ft แรงและนานกว่าคาด รวมถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค่ากดดันขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตามเรามองว่า GPSC มีโอกาสฟื้นตัววันนี้หลังราคาน้ำมันปรับตัวลงแรงกว่า -5.6% ทำให้คาดว่าจะมีผล sentiment ต่อราคาก๊าซลดลงตามหนุน GPM ฟื้นตัว บวกกับ US 10Y bond yield ที่อ่อนตัวลง และเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าเล็กน้อยที่ 36.91 บาท
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันพฤหัสฯ ติดตามรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย (Headline CPI) เดือน ก.ย. ตลาดคาดปรับตัวลดลงเป็น 0.80% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 0.88% YoY และตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของไทย (Core CPI) เดือนก.ย. ตลาดคาดที่ 0.70% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 0.79% YoY
- วันศุกร์ ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ (nonfarm payrolls) เดือนก.ย. ตลาดคาดที่ 150k ตำแหน่ง เทียบกับ 187k ตำแหน่งในเดือนก่อนหน้า ตัวเลขอัตราการว่างงานของสหรัฐฯเดือน ก.ย. ตลาดคาดลดลงเป็น 3.7% จากเดือนก่อนหน้าที่ 3.8% และอัตราค่าจ้างแรงงานของสหรัฐฯ (Average hourly earnings) เดือนก.ย. ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 0.3% MoM เทียบกับเดือนก่อหน้าที่ 0.2% MoM