บล.บัวหลวง:

SAFE – ผู้ให้บริการศูนย์การแพทย์เพื่อการมีบุตรยากแบบครบวงจร ( IPO REPORT )

Executive summary

เราประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2024 ของ SAFE ที่ 7,134-7,309 ล้านบาท หรือเทียบเป็นราคา 23.47-24.05 บาท/หุ้น ผ่านการประเมินมูลค่ากิจการด้วยวิธีอิงเป้าหมาย PEG และการคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ตามลำดับ โดยวิธีแรก เราใช้ประมาณการการเติบโตของ EPS เฉลี่ย 21.4% ต่อปี CAGR และอิงเป้าหมาย PEG ที่ 1.2 เท่า ซึ่งเกิดจากการให้ Premium (มูลค่าเพิ่ม) 20% สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มผู้เล่นเกี่ยวเนื่องกับศูนย์การแพทย์ผู้มีบุตรยากที่ 1.0 เท่า เพราะมองว่า SAFE เป็นผู้นำในศูนย์การแพทย์เพื่อรักษาผู้มีบุตรยากที่ครบวงจร มีลูกค้าระดับ High-end (ค่ารักษาเฉลี่ยสูงกว่า) และอัตรากำไรขั้นต้นที่มากกว่าคู่เทียบ (รายละเอียดในหัวข้อ Valuations) สำหรับวิธีที่สอง ประเมินมูลค่าแบบ DCF บนสมมติฐาน WACC 8.3% และ Terminal growth 2%
มูลค่าพื้นฐานของเราคิดเป็น PER ปี 2024 ที่ 25.6-26.3 เท่า ตามลำดับ เป็นระดับที่เหมาะสม เนื่องจากสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มศูนย์การแพทย์ผู้มีบุตรยากที่ 21.2 เท่า จากความ Premium มากกว่าดังกล่าว แต่ต่ำกว่ากลุ่มโรงพยาบาลระดับบนที่ 29.3 เท่า จากธุรกิจโรงพยาบาลมีฐานรายได้-กำไรสม่ำเสมอกว่า ส่วน PEG ก็สูงกว่ากลุ่มศูนย์การแพทย์ผู้มีบุตรยาก แต่ต่ำกว่าเฉลี่ยกลุ่มโรงพยาบาล

SAFE เป็นผู้ให้บริการศูนย์การแพทย์เพื่อการมีบุตรยากแบบครบวงจร (Integrated Full Service) โดยเป็นศูนย์การแพทย์รักษาผู้มีบุตรยากที่มีสาขาและครอบคลุมทางด้านภูมิศาสตร์ มากที่สุดในประเทศไทย และมีสัดส่วนรายได้จากชาวต่างชาติสูงถึง 60% โดยในช่วงปี 2020-2022 หลังจากบริษัทได้เห็นถึงการกลับมาใช้บริการศูนย์การแพทย์รักษาผู้มีบุตรยากอย่างต่อเนื่อง โดยมีสถิติการเก็บไข้ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด แบ่งเป็น 991 รอบ ในปี 2021 (5% YoY) และ 1,140 รอบ ในปี 2022 (15% YoY) โดยใน 1H23 บริษัทมีการเก็บไข่ไปแล้วกว่า 619 รอบ (54% ของปี 2022) ทำให้ประเมินว่าปี 2024 รอบการเก็บไข่น่าจะกลับไประดับก่อนโควิด-19 ที่ ราว 1,708 รอบ/ปี

อัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ (Clinical Pregnancy Success Rate) สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม โดย Success Rate เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของธุรกิจนี้ และโดย SAFE มีอัตราความสำเร็จสูงมากกว่า 70% ในช่วง 5 ที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่อยู่ราว 30.5-46.4% ในช่วง 2019-2022 และสถิติที่ผ่านมาเห็นแนวโน้มความสำเร็จเพิ่มขึ้นในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นการทำ ICSI พร้อมบริการตรวจพันธุกรรมตัวอ่อน (PGT) ดังนั้น อัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ที่สูงจึงเป็นจุดแข็งที่ ทำให้ SAFE กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักที่ลูกค้ามีการแนะนำกันแบบปากต่อปากมาอย่างต่อเนื่อง และสร้างการเติบโตในช่วงก่อนโควิด-19 ที่ผ่านมา โดยบริษัทมีแผนในการทำการตลาดแบบเชิงรุกเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มสัดส่วนลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ

SAFE เติบโตไปพร้อมกับ Megatrend เนื่องจากปัจจุบัน ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างทำให้คนจำนวนมากมีบุตรช้าลง หรือมีบุตรเมื่อพร้อม แต่ยิ่งอายุเพิ่ม การตั้งครรภ์โดยวิธีธรรมชาติก็ยากขึ้น เห็นได้จากอัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลง The Business Research Company คาดว่าธุรกิจรักษาภาวะมีบุตรยากทั่วโลกจะเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 13.8% ในปี 2022-27 นอกจากนี้ การขยายตัวของตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยาก (Fertility Tourism) ยังเป็นอีกปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ในไทยด้วย…

การเติบโตในประเทศไทยเพิ่งจะเป็นจุดเริ่มต้น ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญสำหรับผู้มีบุตรยากทั่วโลก (Fertility Tourism) สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต (Medical Hub) โดย Krungsri Research จึงคาดการณ์ปริมาณของนักท่องเที่ยวที่มารักษาการมีบุตรยากในไทย เติบโตเฉลี่ย 14.6% ต่อปี CAGR ในปี 2022-27 และ SAFE จะยังเป็นผู้เล่นสำคัญในการเติบโตนี้

เปิดเกมรุก ขยายธุรกิจ รับโอกาสของอุตสาหกรรม โดย SAFE ตั้งเป้าขยายสาขาอีกราว 2-4 สาขา และ ห้องปฏิบัติการ (Lab) อีก 2-4 แห่ง ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะสร้างพันธมิตรทางธุรกิจจาก 1) การสร้างห้อง Lab กับกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลภาครัฐ และ 2) ร่วมเป็นพันธมิตรทางการค้าในรูปแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture) กับกลุ่มโรงพยาบาลเอกชน โดยใช้พื้นที่ของโรงพยาบาลเอกชนสร้างเป็นคลินิกรักษาผู้มีบุตรยากในโรงพยาบาล

ความเสี่ยงที่สำคัญ: พึ่งพิงบุคลากรคนสำคัญ, การแข่งขันในอุตสาหกรรม, กฎหมาย กฎระเบียบ กฎเกณฑ์, การถูกฟ้องร้องค่าเสียหาย และการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น

- Advertisement -