บล.บัวหลวง:
True Corporation (TRUE TB / TRUE.BK)
TRUE – ต้นทุนรวมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นกดดันผลประกอบการครึ่งหลังปี 2566 และปี 2567-ผลกระทบทางลบในระยะกลาง
ถึงแม้ว่าเราทำการปรับประมาณการผลขาดทุนปี 2566-67 เพิ่มขึ้นจากเดิม แต่เรามองว่าเป็นผลกระทบทางลบในระยะกลางจากต้นทุนรวมเครือข่ายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2566 และต่อเนื่องไปในปี 2567 ผลประกอบการของบริษัทบรรทัดสุดท้ายมีแนวโน้มพลิกกลับไปเป็นกำไรได้ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป ทันทีที่ผลประโยชน์ร่วมสุทธิจากการควบรวมกิจการ (net synergy) พลิกกลับจากลบไปเป็นบวกอย่างมีนัยสำคัญ เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” เนื่องจากการพลิกกลับมาทำกำไรได้ในระยะยาว
ภาพการแข่งขันอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่และบรอดแบนด์บ้านที่ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 3/66
TRUE ได้ทำการปรับเปลี่ยนโปรโมชั่นใหม่ 2 โปรโมชั่นตั้งแต่เดือนก.ย. 2566 ซึ่งได้แก่ 1) การลดโควต้าดาต้าลงครึ่งหนึ่ง (เช่น จาก 30 เมกะบิตเหลือ 15 เมกะบิต) และ 2) การปรับราคาเพิ่มขึ้นอีก 20 บาท/แพ็กเกจ (เช่น จาก 150 บาทไปเป็น 170 บาท และจาก 200 บาทไปเป็น 220 บาท) ADVANC ได้ทำการลดโควต้าดาต้าลงครึ่งหนึ่งเช่นกัน แต่ยังไม่ได้ทำการปรับราคาเพิ่มขึ้น 20 บาท/แพ็กเกจในช่วงไตรมาส 3/66 และเนื่องจากบริษัทได้ทำสัญญากับลูกค้าเป็นระยะเวลา 6 เดือน เราจึงคาดว่าการปรับเปลี่ยนโปรโมชั่นสำหรับ 2 แพ็กเกจข้างต้นมีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อรายได้เฉลี่ย/ราย/เดือนและรายได้บริการของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ปลายไตรมาส 1/67 และส่งผลบวกเต็มไตรมาสในไตรมาส 2/67 เป็นต้นไป สำหรับธุรกิจบรอดแบนด์บ้าน แพ็กเกจราคาต่ำได้ทำการปรับราคาเพิ่มขึ้นจาก 299 บาทไปเป็น 499 บาทไปแล้วตั้งแต่ไตรมาส 2/66 และในไตรมาส 3/66 TRUE ได้เริ่มเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้า (ซึ่งรวมค่าติดตั้ง) สำหรับผู้ใช้บริการรายใหม่ แต่ ADVANC ยังคงไม่ได้เริ่มเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวแต่อย่างใด กลยุทธ์ของธุรกิจบรอดแบนด์บ้านของบริษัทได้แก่ การรักษาฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีคุณภาพสูงผ่านการขายข้ามผลิตภัณฑ์และการขายไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพงขึ้น และการทยอยนำเอาผู้ใช้บริการระดับล่างออกไปจากระบบ ซึ่งจะส่งผลให้รายได้เฉลี่ย/ราย/เดือนสำหรับธุรกิจบรอดแบนด์บ้านปรับตัวดีขึ้น โดยกลยุทธ์ของธุรกิจบรอดแบนด์บ้านดังกล่าวได้ดำเนินการต่อเนื่องไปยังไตรมาส 3/66
ปัจจัยบวกได้แก่ รายได้บริการยังคงเพิ่มขึ้น QoQ ในไตรมาส 3/66
ถึงแม้ว่าไตรมาสสามถือว่าเป็นช่วงโลว์ซีซั่นเนื่องจากฝนตกหนัก และเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของการท่องเที่ยว แต่เราคาดว่ารายได้บริการของ TRUE ในไตรมาส 3/66 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น QoQ เนื่องจากรายได้เฉลี่ย/ราย/เดือนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการปรับเพิ่มราคาค่าบริการของแพ็กเกจโทรศัพท์เคลื่อนที่และการลดโควต้าข้อมูลของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะกลบผลกระทบจากช่วงโลว์ซีซั่นในไตรมาสสามของปีนี้ได้ เราคาดรายได้บริการ (ที่ไม่รวมไอซี) ในไตรมาส 3/66 ที่ 3.98 หมื่นล้านบาท ลดลง 0.7% YoY แต่เพิ่มขึ้น 1% QoQ ภายใต้สมมติฐานซึ่งแนวโน้มของรายได้บริการยังคงเป็นบวกอย่างต่อเนื่องไปในไตรมาส 4/66 เราคาดรายได้บริการ (ที่ไม่รวมไอซี) ในไตรมาส 4/66 ที่ 4.05 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.1% YoY และ 1.7% QoQ ซึ่งจะส่งผลให้รายได้บริการ (ที่ไม่รวมไอซี) สำหรับทั้งปี 2566 (ภายใต้สมมติฐานของผลกระทบจากการควบรวมกิจการที่เข้ามาเต็มทั้งปี) ลดลงเพียงแค่ 0.5% YoY ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับข้อมูลของบริษัทที่ตั้งเป้ารายได้บริการ (ที่ไม่รวมไอซี) มีแนวโน้มทรงตัว YoY สำหรับในช่วง 10 เดือนของปี 2566 หลังจากการควบรวมกิจการ นอกจากนี้ยอดขายไอโฟน 15 (ซึ่งยอดขายบางส่วนจะถูกบันทึกในไตรมาส 3/66 และยอดขายที่จะเข้ามาเต็มไตรมาสในไตรมาส 4/66) ถือว่าเพิ่มขึ้นมากกว่ายอดขายไอโฟนรุ่นก่อนหน้าในปีที่แล้ว เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่คลี่คลายลง และการกลับมาฟื้นตัวของการบริโภคหลัง COVID-19
ส่องกล้องไตรมาส 3/66-คาดขาดทุนหลักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ
เราคาดขาดทุนสุทธิไตรมาส 3/66 ที่ 2.34 พันล้านบาท ทรงตัว QoQ แต่พลิกกลับจากกำไรสุทธิไตรมาส 3/65 ที่ 44 ล้านบาท (ซึ่งทำการปรับปรุงใหม่ให้เสมือนว่าการรวมกิจการ TRUE-DTAC เกิดขึ้นในปี 2565 เพื่อวัตถุประสงค์สำหรับการเปรียบเทียบ YoY) ถ้าไม่รวมรายการพิเศษในไตรมาส 3/66 เราคาดขาดทุนหลักในไตรมาส 3/66 ที่ 2.72 พันล้านบาท ขาดทุนหลักเพิ่มขึ้น 5% QoQ และแย่ลงถ้าเทียบกับกำไรหลักที่เราทำการปรับปรุงใหม่ที่ 41 ล้านบาทในไตรมาส 3/65 ขาดทุนหลักที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ เนื่องจากต้นทุนการรวมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (จากการเปิดตัวไอโฟน 15) กลบผลกระทบของรายได้บริการที่ปรับตัวดีขึ้น QoQ สำหรับทั้งสามธุรกิจหลัก เราคาดว่าต้นทุนการรวมเครือข่ายที่เกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น QoQ สำหรับในไตรมาส 4/66 ทั้งนี้เนื่องจากเราคาดว่าต้นทุนการรวมเครือข่ายหลังจากการควบรวมกิจการมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าที่เราคาดก่อนหน้า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 และต่อเนื่องไปยังปี 2567 ซึ่งหลักๆ จะเกี่ยวข้องกับโครงการ “Single Grid” เราจึงทำการปรับประมาณการผลขาดทุนสุทธิปี 2566 เพิ่มขึ้นอีก 74% (ไปเป็นขาดทุนสุทธิ 7.44 พันล้านบาท) และปรับประมาณการผลขาดทุนสุทธิปี 2567 เพิ่มขึ้นอีก 106% (ไปเป็นขาดทุนสุทธิ 4.37 พันล้านบาท) และปรับราคาเป้าหมายลงอีกเล็กน้อยอีก 2% (เหลือ 9.05 บาท)