บล.กรุงศรีฯ:

SAFE FERTILITY GROUP (SAFE TB/ SAFE.BK)

SAFE – ขอแสดงความยินดีที่ได้เป็นคุณแม่

SAFE เป็นผู้นำด้านการรักษาผู้มีบุตรยากครบวงจรของประเทศไทย ที่ได้มาตรฐานระดับโลก และมีทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์สูง ส่งผลให้อัตราประสบความสำเร็จในการให้บริการผู้มีบุตรยากมากกว่า 70% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 30.5-46.4%) เราคาดกำไรจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 25% ในปี 2022-2025F ซึ่งได้อานิสงค์จากแนวโน้มอุตสาหกรรมรักษาผู้มีบุตรยากของโลกที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 13.8% ต่อปีในอีกหนึ่งทศวรรษเป็น 11.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยากของประเทศไทยที่คาดจะเติบโต 14.6% ต่อปี (2022-2027) เป็น 1.96 พันล้านเหรียญสหรัฐ เราประเมินมูลค่าเหมาะสม ณ สิ้นปี 2024 ที่ 7.2 พันล้านบาท (23.7 บาทต่อหุ้น)

ผู้นำด้านการรักษาผู้มีบุตรยากครบวงจรของประเทศไทยด้วยมาตรฐานระดับโลก

SAFE เป็นศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากครบวงจรที่ได้รับมาตรฐาน RTAC และ UK NEQAS โดยมีทีมแพทย์ 13 ท่านที่มีประสบการณ์เฉลี่ยมากกว่า 20 ปี และนักวิทยาศาสตร์และนักเทคนิคการแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านเพาะเลี้ยงตัวอ่อน 32 ท่านที่มีประสบการณ์เฉลี่ยมากกว่า 10 ปี ประกอบกับเป็นผู้นำในการนำเข้าเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ทำให้อัตราความสำเร็จในการให้บริการผู้มีบุตรยากสูงมากกว่า 70% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 30.5-46.4% โดย SAFE ได้รับความไว้วางใจจากโรงพยาบาลชั้นนำ และศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากชั้นนำอื่นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ (เช่น ฟิลิปปินส์ อินเดีย และออสเตรเลีย) ในการตรวจและวิเคราะห์คัดกรองโครโมโซมตัวอ่อนและตรวจความผิดปกติทางพันธุกรรม

แนวโน้มอุตสาหกรรมจะเติบโตอย่างน้อยอีกหนึ่งทศวรรษ

ตลาด Global Fertility Services คาดเติบโต 13.8% ต่อปีในปี 2022-2032 เป็น 11,7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยตลาด ICSI จะเติบโตสูงสุด 14.3% ต่อปีเป็น 6.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ สนับสนุนจากแนวโน้มการตั้งครรภ์ล่าช้าจากวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับภาวะมีบุตรยากเพิ่มขึ้น นโยบายของภาครัฐที่ส่งเสริมการมีบุตร และการขยายตัวของตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยาก

แนวโน้มกำไรเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปีในปี 2022-2025F

เราคาดกำไรสุทธิ 197 ล้านบาท, 277 ล้านบาทและ 315 ล้านบาทในปี 2023F-2025F ตามลำดับ จากสมมติฐานรายได้เติบโตเฉลี่ย 19% ต่อปีเป็น 904 ล้านบาท, 1.1 พันล้านบาท และ 1.2 พันล้านบาท ตามลำดับ สนับสนุนจากอุปสงค์ของลูกค้าไทยและต่างชาติเพิ่มขึ้น เราเชื่อว่ามีอุปสงค์คงค้างจำนวนมากจากลูกค้าจีน ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น และได้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale)

เราประเมินมูลค่าเหมาะสม 7.2 พันล้านบาท (23.7 บาทต่อหุ้น)

เราประเมินมูลค่า SAFE ด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด ณ สิ้นปี 2024 โดยใช้อัตราคิดลด 8% และอัตราเติบโตระยะยาว 1%

ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ ลูกค้าหลักจากจีนและอินเดียที่อาจลดลง และการแข่งขันที่อาจสูงขึ้นในอนาคต

อ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็มได้ที่

https://www.krungsrisecurities.com/researchcontent/3/9/?id=24639

 

- Advertisement -