KS Daily View 11.10.2023 >>> Bond yield ปรับตัวลดลง หนุน SET ฟื้นตัวในกรอบ 1,425-1,440 จุด หุ้นแนะนำ BH, AP
สรุปภาวะตลาดเมื่อวานนี้
ต่างประเทศ : ดัชนี DJIA +0.40%, S&P 500 +0.52%, NASDAQ +0.58%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ Utilities (+1.36%), Consumer Discretionary (+1.09%), Materials (+1.08%) ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่ Energy (-0.02%) เป็นต้น
ในประเทศ: SET Index +2.73 จุด หรือ +0.19% ปิดที่ 1,434.45 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ DELTA (+5.38%), HANA (+5.22%), IVL (+4.51%) เป็นต้น ส่วนที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ CPF (-5.58%), SCGP (-4.83%), CBG (-4.30%) เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
ประเมินตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวในกรอบ 1,425 – 1,440 จุดในวันนี้ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ ที่ค่อยๆปรับลดลง และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะช่วยคลายความกังวลเรื่องภาวะการเงินตึงตัว และเงินทุนไหลออก ทำให้อาจมีการซื้อคืนหุ้นที่ถูกขายลงมามาก โดยเฉพาะบริษัทที่ผลประกอบการเติบโตดีในไตรมาส 3 – 4/66 หรือมีโอกาส surprise ทางบวก
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.) IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP โลกในปี 2566 ขึ้น 0.2% เป็น 3.0% ขณะที่ปรับลด GDP โลกปี 2567 ลงเล็กน้อย -0.1% เป็น 2.9% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตระหว่างปี 2000-2019 ที่โตเฉลี่ยปีละ 3.8% เนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลกยังจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเพื่อกดเงินเฟ้อ โดยคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในประเทศต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะกลับไปสู่เป้าหมายได้อย่างเร็วที่สุดในปี 2025 ส่วนประเทศไทย IMF คาดการณ์ GDP ในปีนี้จะโตได้เพียง 2.7% จากปี 2565 ที่โต 2.6% และคาดว่าจะเติบโตได้ 3.2% ในปี 2567 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าของทาง ธปท. ที่คาดว่า GDP ไทยจะโตได้ 2.8%/4.4% ในปี 2566-67
2.) ติดตามการแถลงผลการประชุมคณะกรรมการบีโอไอเช้านี้ ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนช่วง 9 เดือนของปี 2566 (มกราคม-กันยายน) คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ที่มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมรวมทั้งสิ้น 891 โครงการ เพิ่มขึ้น 18% และมีมูลค่าเงินลงทุน 364,420 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้อาจมีการให้รายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องการส่งเสริมการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) ที่มาแรง และความคืบหน้าการหารือค่ายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในตามนโยบายนายกรัฐมนตรีด้วย มองจะเป็น sentiment บวกกับกลุ่มนิคมฯ
3.) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 2% WoW โดยล่าสุดอยู่ที่ 36.60 บาทต่อ USD จาก USD index ที่ปรับลดลง หลังคณะกรรมการเฟดส่งสัญญาณว่าอาจคงดอกเบี้ยในการประชุมรอบถัดไปวันที่ 1 พ.ย. ขณะเดียวกันค่าเงินบาทยังได้ปัจจัยหนุนจาก Geopolitical risk ในตะวันออกกลางด้วยในฐานะหลุมหลบภัยของนักลงทุน
4.) จีนกำลังพิจารณาเพิ่มการขาดดุลงบประมาณในปี 2566 (จากระดับ 3% ของ GDP) ขณะที่รัฐบาลเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่อีกอย่างน้อย 1 ล้านล้านหยวน (137,000 ล้านดอลลาร์) สำหรับการใช้จ่ายในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจบรรลุเป้าหมายการเติบโต 5%
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,425 – 1,460 จุด ในสัปดาห์นี้ โดย sentiment หุ้นไทยยังคงเปราะบางจากความกังวลเรื่องการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ต้องระดมทุนผ่านการออกพันธบัตรเพิ่ม ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น และสภาพคล่องในตลาดลดลงกระทบการระดมทุนของภาคเอกชน ซึ่งต้องรอความชัดเจนของการจัดหาแหล่งเงินทุนของทางภาครัฐในวันที่ 24 ต.ค. อย่างไรก็ตามคาดว่าราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวจะหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน สำหรับปัจจัยที่จะกำหนดการเคลื่อนไหวของตลาดในสัปดาห์นี้ได้แก่ การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทาง US 10Y bond yield และสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
BH (ราคาพื้นฐาน 285 บาท) เราไม่คิดว่าสงครามอิสราเอล-ฮามาสจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกระแสของผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง ราคาหุ้นที่ลดลง 4-5% ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเทียบ SET ที่ลดลง 1% น่าจะเป็นโอกาสเข้าลงทุน เราคาดว่า BH จะรายงานกำไรปกติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 3/66 ที่ 2.06 พันลบ. เพิ่มขึ้น 18% QoQ และ 37% YoY จากรายได้และอัตรากำไรที่สูงขึ้น
AP (ราคาพื้นฐาน 14.20 บาท) เราคาดผลประกอบการในไตรมาส 3/66 จะเติบโต QoQ และ YoY แม้ยอดขาย Pre-sales จะทำได้เพียง 11,677 ลบ. (-2% YoY, -8% QoQ) ในไตรมาส 3/66 ขณะที่ยอดขาย Pre-sales ใน 9 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่ 35,324 ลบ. หรือ 61% ของเป้าทั้งปีที่ 58,000 ลบ. ทั้งนี้เราคาดว่ายอดขาย Pre-sales จะเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 4/66 เนื่องจากจะมีการเปิดตัวโครงการจำนวนมาก โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันพุธติดตามบันทึกการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ FOMC minutes และติดตามตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ เดือนก.ย. ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 0.3% MoM จากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 0.7% MoM ขณะที่ด้านตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตที่ไม่รวมพลังงานและอาหาร (core PPI) ของสหรัฐฯ เดือนก.ย. ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 0.2% MoM ทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
- วันพฤหัสบดีติดตามตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) ของสหรัฐฯเดือน ก.ย. ตลาดคาดที่ 3.6% YoY ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 3.7% YoY และตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (core CPI) ของสหรัฐฯเดือน ก.ย. ตลาดคาดที่4.1% YoY ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.3% YoY
- วันศุกร์เป็นวันหยุดธนาคารของไทย ขณะที่ฝั่งต่างประเทศมีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญเช่น จีนมีประกาศตัวดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือน ก.ย. ตลาดคาดที่ 0.2% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 0.1% YoY และตัวเลขการส่งออกเดือนก.ย. ตลาดคาดหดตัว 7.5% YoY แต่ดีกว่าเดือนก่อนหน้าที่หดตัว 8.8% YoY และปิดท้ายที่ฝั่งสหรัฐฯมีรายงานตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่น University of Michigan (UOB) เดือนต.ค. ตลาดคาดปรับตัวลดลงแตะ 67.5 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 68.1 จุด