บล.บัวหลวง:
Ngern Tid Lor (TIDLOR TB /TIDLOR.BK)
TIDLOR – แนวโน้มการเติบโตปี 2567 ที่น่าตื่นเต้น
เราคาดว่ากำไรในครึ่งหลังของปี 2566 จะเติบโต YoY หนุนจากการขยายตัวของสินเชื่อ และสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมปี 2566 ของ TIDLOR จะลดลง QoQ การเติบโตของกำไรสุทธิปี 2567 มีความน่าสนใจมากกว่าการเติบโตในปี 2566 มาก
กำไรสุทธิไตรมาส 3/66 จะฟื้นตัว YoY และ QoQ
เราคาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ที่ 947 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% YoY และ 2% Q0Q เราคาดสินเชื่อรวมที่ 9.07 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2566 เพิ่มขึ้น 20% YoY และ 4% QoQ หนุนจากอุปสงค์สินเชื่อในกลุ่มลูกค้าของ TIDLOR และการขยายสาขา แต่การเติบโตของสินเชื่อจะถูกผลกระทบของ NIM ที่ลดลงที่ 15.5% ลดลง 59bps YoY และ 9bps QoQ เนื่องจาก ต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น นอกจากนี้ เรายังคาดอัตราการตั้งสำรองที่ 3.2% เพิ่มขึ้น 40bps YoY และ 5bps QoQ เนื่องจากเราคาดสัดส่วนหนี้เสียต่อ สินเชื่อรวมของ TIDLOR เพิ่มขึ้นจาก 1.54% ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2566 ไปเป็น 1.60% ณ สิ้นเดือนก.ย. สัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมปีจะถึงจุดพีค ณ สิ้นเดือนก.ย.
หากประมาณการกำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ของเราถูกต้อง กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 2566 จะคิดเป็น 76% ของประมาณการทั้งปีของเรา ดังนั้นเรามองว่ามีดาวน์ไซด์จำกัดต่อประมาณการปี 2566
สัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมปี 2566 มีแนวโน้มจะลดลง QoQ
เราคาด GDP ของประเทศไทยเติบโตที่ 2.7% ในปี 2566 และ 3.8% ในปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและการฟื้นตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค นอกจากนี้ เราคาดว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะได้รับแรงหนุนโดยตรงจากนโยบายของรัฐบาลใหม่ เช่น การแจกเงินสดในกระเป๋าเงินดิจิทัลมูลค่า 10,000 บาท (คาดในครึ่งแรกของปี 2567) และทางอ้อมจากการท่องเที่ยวขาเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก YoY และการเติบโตของ GDP ที่เร็วขึ้นจะส่งผลให้คุณภาพสินทรัพย์ของ TIDLOR ปรับตัวดีขึ้น ดังนั้นเราจึงคาดว่าสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมปี 2566 จะลดลง QoQ
แนวโน้มการเติบโตปี 2567 แข็งแกร่งสุดในกลุ่มการเงินรายย่อย
เราคาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 901 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% YOY (การเติบโตของสินเชื่อและการตั้งสำรองฯที่ลดลง) แต่ลดลง 5% QoQ (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล) หากกำไรสุทธิของ TIDLOR เป็นไปตามประมาณการของเราในไตรมาส 3-4/66 เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 2566 จะอยู่ที่ 3.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 3% YoY (แม้ว่าสินเชื่อจะขยายตัว 18% YoY) แต่เมื่อมองไปยังปี 2567 เราคาดกำไรสุทธิที่ 4.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% YoY ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุดในกลุ่มสินเชื่อรายย่อยของเราสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคที่ดีขึ้นในปี 2567 จะหนุนอุปสงค์หนี้และการคุณภาพสินเชื่อของ TIDLOR
หุ้นกลุ่มการเงินรายย่อยที่เราชอบมากที่สุด
ราคาหุ้นปรับตัวลง 17% ตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค. เนื่องจากความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่สูงขึ้น แต่เราเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร 1 วันของธปท. จะถึงจุดพีคในวันที่ 27 ก.ย. ดังนั้นจึงน่าจะกดดัน NIM น้อยลงในปี 2567 (ต้นทุนทางการเงินโดยรวมของ TIDLOR มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงในปี 2567)
เราปรับเป้าหมายการลงทุนจากปี 2566 ไปเป็น 2567 โดยมีราคาเป้าหมายใหม่ที่ 26 บาท PER ปี 2567 ของ TIDLOR อยู่ที่ 12.8 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 2.5 ปีอยู่ 1.6 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นับตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ) แต่คาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไรปี 2567-2568 อยู่ที่ 17% ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน PEG ที่ 0.7 เท่า PBV ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 1.7 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 2.5 ปีอยู่ 2.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน)