KS Daily View 17.10.2023 >>> สงครามอาจยืดเยื้อ แม้มีเจรจายุติสงครามอิสราเอล-ฮามาส คาดดัชนีฟื้นตัวจำกัดในกรอบ 1,415-1,440 จุด หุ้นแนะนำ BH
สรุปภาวะตลาดเมื่อวันก่อน
ต่างประเทศ: ดัชนีDJIA +0.93%, S&P 500 +1.06%, NASDAQ +1.20%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ Consumer Discretionary (+1.65%), Communication Services (+1.47%), Industrials (+1.05%) ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่ Energy (+0.66%) และ Healthcare (+0.75%) เป็นต้น
ในประเทศ: SET Index -23.64 จุด หรือ -1.63%ปิดที่ 1,427.11 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ ESSO (+1.92%), PTTEP (+1.78%), HMPRO (+0.82%), TTB (+0.58%)เป็นต้น ส่วนที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ JMT (-10.53%), JMART (-7.14%), GLOBAL (-6.83%), AWC (-5.98%) เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ: ประเมินตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวจำกัดในกรอบ 1,415 – 1,440 จุด ตามการฟื้นตัวของตลาดหุ้นโลกจากความพยายามของผู้นำโลกในการเจรจายุติสงครามอิสราเอล-ฮามาส แต่ความเสี่ยงที่สงครามจะยืดเยื้อ/ขยายวงยังมีอยู่ จากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะ Stagflation หรือ ภาวะที่เงินเฟ้อเงินฝืดเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ทำให้ธนาคารกลางอาจต้องคงดอกเบี้ยในระดับสูงนานกว่าคาด ซึ่งเป็นscenario ที่ไม่เอื้อกับตลาดหุ้น กลยุทธ์การลงทุนจึงควรเน้นแบบตั้งรับมากขึ้น โดยหุ้นที่คาดว่าจะoutperform ในภาวะนี้ต้องเป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดดี หนี้น้อย และสามารถปรับราคาขายได้ตามภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากผู้บริโภคมีความยืดหยุ่นต่อราคาต่ำ และมีค่า P/E ที่ไม่สูงไป ได้แก่ กลุ่มพลังงาน, โภคภัณฑ์, การแพทย์, รวมถึงกลุ่มที่ขายสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น อาหาร,ยารักษาโรค, บริการด้านการสื่อสาร เป็นต้น
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.) ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัว พร้อมแรงขายทำกำไรน้ำมันดิบ, ทองคำ, และพันธบัตรรัฐบาล หลังมีความพยายามของนานาชาติผ่านการเจรจาทางการทูตเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สงครามอิสราเอล-ฮามาสขยายวงกว้างจนเป็นความขัดแย้งระดับภูมิภาค โดย ปธน.ไบเดน เตรียมเดินทางไปเยือนอิสราเอลในวันพุธเพื่อไกล่เกลี่ย ขณะที่ ปธน.ปูตินได้มีการโทรศัพท์พูดคุยกับผู้นำของอิยิปต์, ซีเรีย, อิหร่าน และปาเลสไตน์ ซึ่งทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่ามีความจำเป็นที่จะต้องมีข้อตกลงหยุดรบ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ยังคงเปราะบาง และมีโอกาสที่จะยืดเยื้อกว่าคาด หรือขยายวง หลังผู้นำทางทหารของอิสราเอลแจ้งกับทางสหรัฐฯว่าสงครามกับฮามาสจะกินระยะเวลาที่นาน นอกจากนี้ยังมีการปะทะกันข้ามพรมแดนระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มนักรบฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านเช่นเดียวกับฮามาส นอกจากนี้สำนักข่าว Aljazeera ได้รายงานข่าวว่า อิหร่านได้ออกมาเตือนอิสราเอลว่าการรุกรานทางภาคพื้นฉนวนกาซาจะต้องเจอกับการตอบโต้จากแนวหน้าอื่นๆ และทำให้ความขัดแย้งในตะวันออกกลางขยายวง
2.) ราคาก๊าซธรรมชาติโลกปรับตัวลงจากภาวะอากาศที่อบอุ่นกว่าคาด รวมถึงระดับสต๊อกที่สูงในยุโรป ทั้งนี้ราคาก๊าซธรรมชาติที่ยุโรป (Dutch TTF) ล่วงหน้า สัญญาเดือน พ.ย. ปรับตัวลง -10% DoD เป็น 48.675 ยูโรต่อ MWh ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติที่สหรัฐฯ ปรับลดลง 4% DoD เป็น US$3.109/mmBTU มองข่าวดังกล่าวเป็น sentiment บวกอ่อนๆ ต่อหุ้นโรงแรมในยุโรป(MINT, SHR) รวมถึงโรงไฟฟ้า SPP ของไทย
3.) ครม.ไฟเขียวก่อสร้างรถไฟทางคู่เฟส2 ช่วง“ขอนแก่น-หนองคาย” วงเงิน 29,748 ล้านบาท วางไทม์ไลน์เริ่มตอกเสาเข็มปี 67 พร้อมเปิดให้บริการปี 70 คาดมีผู้โดยสารใช้บริการ 5,800คนต่อวัน มองข่าวดังกล่าวเป็น sentiment บวกกับกลุ่มรับเหมา แม้โครงการดังกล่าวจะไม่ใหญ่ แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการอนุมัติงานเพิ่มเติมมากขึ้นในอนาคต
4.) ติดตามกรณี HANA ที่เตรียมจัดหาเงินทุนเพื่อไปลงทุนในธุรกิจซิลิกอนคาไบน์เพิ่ม โดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2566 ได้มีมติอนุมัติเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) โดยจัดสรรให้บุคคลจำกัด จำนวน 80,487,886 หุ้น (คิดเป็น 10% ของหุ้นที่ชำระราคาแล้วทั้งหมด)
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,420 – 1,460 จุด โดย sentiment หุ้นไทยยังคงเปราะบางจากประเด็นความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ยังสูงอยู่ ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ได้แก่ 1.) การประกาาศกำไร 3Q23 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์; 2.) ทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศ หลังรัฐบาลมีแผนปรับลดงบประมาณในโครงการดิจิตอลวอลเล็ต และกระจายแหล่งที่มาของเงินทุน เพื่อลดแรงกดดันในการออกพันธบัตร; 3.) ราคาน้ำมันดิบจากความเสี่ยงที่สงครามอิสราเอล-ฮามาสจะขยายวงในตะวันออกกลาง; และ 4.) ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. (คาด +0.3% MoM) ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/66 ของจีน (คาด +4.5% YoY) และถ้อยแถลงของ Fed Chair Powell ในคืนวันพฤหัสฯ
หุ้นแนะนำวันนี้
Top pick: BH (ราคาพื้นฐาน 285 บาท) เราไม่คิดว่าสงครามอิสราเอล-ฮามาสจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกระแสของผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง ราคาหุ้นที่ลดลง 4-5% ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเทียบ SET ที่ลดลง 1% น่าจะเป็นโอกาสเข้าลงทุน เราคาดว่า BH จะรายงานกำไรปกติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 3/66 ที่ 2.06 พันลบ. เพิ่มขึ้น 18% QoQ และ 37% YoY จากรายได้และอัตรากำไรที่สูงขึ้น
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันอังคาร ติดตาม ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ Eurozone เดือน ต.ค. ตลาดคาดที่ -8.0 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -8.9 จุด และต่อด้วยตัวเลขค้าปลีกของสหรัฐฯ (Retail sales) เดือน ก.ย. ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 0.3% MoM เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 0.6% MoM และตัวเลขค้าปลีกของสหรัฐฯที่ไม่รวมยานพาหนะ (Core retail sales) เดือน ก.ย. ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 0.2% MoM เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 0.6% MoM
- วันพุธ ติดตาม ตัวเลข GDP ของจีน สำหรับไตรมาส 3/2566 ตลาดคาดขยายตัว 4.5% เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 6.3% ต่อด้วยฝั่งยุโรปมีรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของยุโรปทั่วไป (Headline CPI) เดือนก.ย. ตลาดคาดที่ 4.3%YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 5.2% YoY และตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของยุโรปพื้นฐาน (Core CPI) เดือนก.ย. ตลาดคาดที่ 4.5% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 5.3% YoY และปิดท้ายด้วยรายงายอสังหาฯฝั่งสหรัฐฯ ตัวเลขขออนุญาตก่อสร้างบ้าน (Building permit) เดือนก.ย. ตลาดคาดที่ 1.45 ล้านยูนิต เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 1.54 ล้านยูนิต และตัวเลขบ้านสร้างใหม่ (Housing starts) เดือนก.ย. ตลาดคาดที่ 1.45 ล้านยูนิต เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 1.28 ล้านยูนิต
- วันพฤหัสฯ ติดตาม ตัวเลขภาคการผลิตของสหรัฐฯ Philly Fed เดือน ต.ค. ตลาดคาดที่ -6.7 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -13.5 จุด และติดตามการให้สัมภาษณ์ของ Powell ประธาน Fed ในงาน The Economic Club of New York Luncheon
- วันศุกร์ ติดตามการประกาศอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางจีน PBOC ตลาดคาดคงอัตราดอกเบี้ย Loan prime rate ระยะ 1 ปี ที่ 3.45% และ Loan prime rate ระยะ 5 ปี ที่ 4.20%