ดีใจได้ไม่นาน / 1,415-1,440
มุมมองตลาดหุ้นวันนี้
- SET มีลุ้นฟื้นตัวในช่วงสั้น : โดยได้แรงหนุนจากการเก็งกำไรผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน นำโดยกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะธนาคารที่คาดเผยผลประกอบการสดใส กอปรกับคาดหุ้นในกลุ่มจับจ่ายใช้สอย ท่องเที่ยว และเกี่ยวเนื่อง มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงสั้น หลังครม.มีมติอนุมัติมาตรการ ซึ่งเป็นแรงหนุนต่อกำลังซื้อของบริโภคและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว อาทิ 1) วีซ่าฟรี สำหรับนักท่องเที่ยวรัสเซียที่จะเดินทางเข้ามาไทย พร้อมขยายเวลาพำนักเพิ่มจาก 30 วัน เป็น 90 วัน และ 2) ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ในเส้นทางสายสีม่วงและแดง นอกจากนี้ นายกฯได้มอบหมายให้ก.พลังงานไปทบทวนมาตรการให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้น้ำมันเบนซิน โดยคาดว่าก.พลังงานจะนำกลับมาเสนอครม.ใหม่อีกครั้งในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ดี ทางฝ่ายมอง SET Index มีแนวโน้มฟื้นตัวแค่ช่วงสั้น ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนออกไปก่อน เนื่องจาก SET Index ยังคงมีแนวโน้มถูกกดดันจาก 1) ความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวของความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และ 2) ความไม่ชัดเจนของนโยบาย Digital Wallet โดยเฉพาะในประเด็นแหล่งที่มาของวงเงินงบประมาณ อีกทั้งในช่วงสั้นยังถูกดัน จาก 1) Yield Curve ของไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-3 bps ในตราสารระยะยาว และ 2) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 2 ปี และ 10 ปีที่ดีดตัวขึ้นทดสอบระดับ 5.1% และ 4.7% นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีแนวโน้มชะลอการลงทุนเพื่อรอติดตาม 1) การกล่าวสุนทรพจน์ของนายเจอโรม พาวเวล ในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด และ 2) การรายงาน GDP3Q66 และตัวเลขในภาคการผลิตของจีน เพื่อหาสัญญาณการฟื้นตัวของศก.
- กลยุทธ์การลงทุน : 1) งบ 3Q66: BBL, KTB, SAPPE, TTB 2) ราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับสูง: BCP, PTTEP, TOP 3) Defensive play: ADVANC, BCH และ 4) Selective play: AMATA, BRI, BTS, DOHOME
ปัจจัยบวก
- ครม.มีมติอนุมัติในหลักการโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ตามการเสนอของรฟท. โดยเป็นการก่อสร้างทางรถไฟใหม่ ใช้วงเงินงบประมาณ 29,748 ลบ.
- สมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน เผยยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งโดยสารแบรนด์จีนช่วง 9M66 รวมอยู่ที่เกือบ 9.9 ล้านคัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 21.2% y-y
ปัจจัยลบ
- นักเศรษฐศาสตร์จาก Oversea-Chinese Banking เผยสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสถือเป็นการซ้ำเติมศก. โดยหากราคานํ้ามันปรับตัวขึ้นเป็นเวลานาน จะเห็นอินเดีย ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และอีกหลายประเทศเผชิญกับภาวะเปราะบางด้านการค้า
- บลูมเบิร์กรายงาน โดยอ้างแหล่งข่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯวางแผนที่จะออกมาตรการที่มีความเข้มงวดมากขึ้น เพื่อไม่ให้จีนสามารถเข้าถึงเซมิคอนฯ และอุปกรณ์การผลิตชิปที่ทันสมัย ซึ่งสหรัฐฯมองว่าจีนอาจจะนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเหล่านี้ไปใช้ในการพัฒนากองทัพ
- ศูนย์อุตุฯแห่งชาติจีนเผยว่าหลายพื้นที่ที่มีการปลูกธัญพืชมากที่สุดในจีนจะเผชิญฝนตกหนัก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธัญพืชชนิดต่างๆ ทั้งนี้ หากจีนประสบปัญหาพืชผลการเกษตรเสียหายมากๆ อาจทำให้จีนต้องหันไปนําเข้าจากตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น และเผชิญภาวะอุปทานที่ดึงตัวขึ้น
PICKS OF THE DAY
PTTEP BUY
- เป้าหมาย 175.00/180.00 แนวรับ 167.00
- คาดกำไร 4Q66 ดีขึ้น: คาดผลประกอบการ 4Q66 ดีขึ้นจากราคาขายที่จะกลับมาได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นในช่วง 3Q66 เนื่องจากบางโครงการมี time lag จากราคาน้ำมันดิบดูไบประมาณ 2 เดือน
- คาดราคาน้ำมันยังอยู่ระดับ 85-90 เหรียญ : น้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ย ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 13 ต.ค. ที่ 89.4 USD/bbl ทางฝ่ายคาดราคาจะยังอยู่ระดับ 85-90 USD/bbl และอาจจะปรับขึ้นอีกเนื่องจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส มีแนวโน้มยืดเยื้อ ซึ่งหากมีการขยายขอบเขตความขัดแย้ง จะกระทบต่ออุปทานน้ำมันและกดดันราคาน้ำมันได้
TTB BUY
- เป้าหมาย 1.75/1.80 แนวรับ 1.67
- คาดกำไร 3Q66 เพิ่มทั้ง y-y และ q-q: คาด 3Q66 TTB จะมีกำไร 4.8 พันลบ. เพิ่มขึ้น 28% y-y และ 4.1% q-q และเป็นเพียงธนาคารเดียวที่ทางฝ่ายคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นทั้ง y-y และ q-q นอกเหนือจาก TISCO ที่ประกาศงบไปแล้ว
- จัดการ NPL ได้ดี: TTB มี NPL อยู่ 2.63% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 2.90%อยู่พอสมควร และยังมีทิศทางลดลง โดยสามารถลดระดับ NPL ลงได้ 2 ไตรมาสติดต่อกัน ใน ขณะที่ทิศทาง NPL ของกลุ่มมีแนว โน้มเพิ่มสูงขึ้น