บล.บัวหลวง:
Tanachira Retail Corporation (TAN TB /TAN.BK)
TAN – เมื่อธุรกิจแฟชั่น & ไลฟ์สไตล์แบรนด์ พบกับการขยายตัวของอัตรากำไรและยอดขายที่เติบโต
เราเริ่มต้นให้คำแนะนำ ‘ซื้อ’ TAN ด้วยแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง และมูลค่าที่ไม่แพง แบรนด์ของบริษัทมีความแข็งแกร่งและบริษัทเองมีความเชี่ยวชาญ เราคาดจะสามารถรักษาระดับอัตรากำไรและกระแสเงินสดได้ดี หนุนโอกาสในอนาคต
แบรนด์ธุรกิจแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์
TAN เป็นผู้จำหน่ายสินค้าแบรนด์ดังอย่าง Pandora (ประเทศไทย ), Marimekko (ไทยและสิงคโปร์), และ Cath Kidston (ไทยและเวียดนาม) นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของกลุ่มแบรนด์ HARNN (แบรนด์ Vuudh และ HARNN Wellness & Hospitality) โดยแต่ละแบรนด์ของบริษัทมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ซึ่งแบรนด์ต่างๆ มีฐานลูกค้าที่กำลังเติบโตและมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ เราเชื่อว่ายอดขายหลังช่วงโควิดที่เพิ่มขึ้นและการฟื้นตัวของกำไร แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์เหล่านี้
โอกาสของการเติบโตจากแบรนต์สินค้าที่มีอยู่
ปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเติบโต ได้แก่ การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม, ช่องทางออนไลน์ และการเปิดสาขาใหม่ของแบรนด์ที่มีอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ TAN โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือ คนที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงสูงในตลาด Youth-Women-Netizens (หรือกลุ่ม Y-W-N กลุ่มผู้หญิง, วัยรุ่น และวัยทำงานที่มีกำลังซื้อสูง) เราคาดว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นของคนกลุ่มนี้จะหมายถึงยอดขายสาขาเดิมและยอดขายออนไลน์ที่เติบโตมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีโอกาสสำหรับการขยายสาขาในประเทศไทย โดยแบรนด์ใหญ่สุดที่อยู่ภายใต้การดำเนินงานของ TAN คือ Pandora ซึ่งปัจจุบันมีเพียง 45 สาขา เทียบกับ ศูนย์การค้า 60-70 แห่งในประเทศไทยในเมืองต่างๆที่ประชากรมีรายได้สนับสนุน เราจึงยังมองโอกาศในการขยายสาขาได้อีกมาก เราประมาณการอัตราการเติบโตระหว่างปี 2566-2568 อยู่ที่ 23.4% สำหรับรายได้และ 37.6% สำหรับกำไรสุทธิ
ฐานะทางการเงินหนุนความสามารถในการขยายธุรกิจและการลงทุนใหม่ๆ
TAN ใช้ความรู้เกี่ยวกับตลาดและความเชี่ยวชาญในกลุ่มลูกค้าในการบริหารจัดการยอดขายและสินค้าคงคลัง, ลดความจำเป็นในการปรับลดราคาสินค้า ซึ่งกระทบต่ออัตรากำไร เราเชื่อว่าบริษัทมีความสามารถที่จะรักษาอัตรากำไรในระดับสูง ซึ่งกลบผลกระทบวงจรเงินสดระยะยาว ส่งผลให้มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ ฐานะการเงินที่แข็งแรงของ TAN และฐานข้อมูลลูกค้าที่มีความได้เปรียบจะสนับสนุนโอกาสการเติบโตในอนาคต (การขยายสาขา และ/หรือ การเพิ่มแบรนด์ใหม่ในเครือ)
เริ่มต้นให้คำแนะนำ (ซื้อขายวันแรก วันที่ 18 ต.ค. 2566) ด้วยคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2566 ที่ 21.50 บาท
จากประมาณการคิดลดกระแสเงินสด เราคำนวณได้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2567 ของบริษัทอยู่ที่ 21.50 บาท คิดเป็น PER ที่ 23.8 เท่า สำหรับปี 2567 และ PEG ที่ 0.5 เท่า (เทียบกับค่าเฉลี่ย PEG ของกลุ่มที่ 1.3 เท่า) นอกจากคาดการณ์กำไรไตรมาส 4/66 และไตรมาส 1/67 ที่แข็งแกร่งแล้ว (เนื่องจากช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง) เรายังคาดว่ากำไรจะเติบโตแข็งแกร่งที่ 36.5% สำหรับปี 2566, เติบโต 59% สำหรับปี 2567 และ 21% สำหรับปี 2568
เช็คผลการดำเนินงานไตรมาส 3/66
จากการอัปเดตกลุ่มท่องเที่ยวครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ก.ย. ของเรา ซึ่งเป็นตัวเลขเดือนกรกฎาคม-ส.ค. ที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม รายได้ต่อห้องพักเฉลี่ยของโรงแรมในเดือนก.ย. ปรับตัวลดลง MoM (ตามปัจจัยฤดูกาล) รายได้ต่อห้องพักเฉลี่ยไตรมาส 3/66 ของ CENTEL เพิ่มขึ้น 6% QoQ (อัตราการเข้าพักและรายได้เฉลี่ยต่อวันที่เพิ่มขึ้น) ธุรกิจอาหารจานด่วนของ CENTEL รายงานยอดขายสาขาเดิมทรงตัวและยอดขายอาหารรวมเติบโต 2% ในไตรมาส 3/66 ERW คาดว่าจะรายงานการเติบโตของรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ยในไตรมาส 3/66 ที่ 6% QoQ โดยเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มราคา AWC มีแนวโน้มที่จะรายงานรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ยทรงตัว QoQ ในไตรมาส 3/66 MINT รายงานรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ยลดลง 3% QoQ ในไตรมาส 3/66 เนื่องจากปัจจัยฤดูกาลของ NH Hotel Group ในยุโรป ธุรกิจอาหารจานด่วนของ MINT คาดว่าจะเติบโต 5% YoY จากยอดขายอาหารรวม โดยได้รับแรงหนุนจากประเทศไทย