KS Daily View 24.10.2023 >>> สงครามยังคงจำกัดวง US10Y bond yield อ่อนตัว คาดดัชนีฟื้นตัวทางเทคนิคในกรอบ 1,390-1,425 จุด หุ้นแนะนำ ADVANC, BBL
สรุปภาวะตลาดเมื่อวันก่อน
ต่างประเทศ: ดัชนีDJIA -0.58%, S&P 500 -0.17%, NASDAQ +0.27%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ Communication services (+0.72%), IT (+0.42%) ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่ Energy (-1.62%), Materials (-1.07%), Real Estate (-0.84%) เป็นต้น
ในประเทศ: SET Index -23.69 จุด หรือ -1.66%ปิดที่ 1,399.35 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ SJWD (-10.32%), IVL (-6.50%), FORTH (-6.02%), RCL (-5.85%)เป็นต้น ส่วนที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ CHG (+2.56%), TASCO (+2.41%), AMATA (+1.98%), KBANK (+1.98%) เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ: ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,390 – 1,425 จุด คาดจะเห็นการฟื้นตัวทางเทคนิคจาก 1.) ตลาดเข้าสู่ภาวะที่ถูกขายมากเกินไป (Oversold) โดยจากดัชนี CNN Fear & Greed index เข้าเขต “Extream Fear” ที่ระดับ 27 จุด ซึ่งพบว่าดัชนี S&P 500 มักกลับตัวหลัง ดัชนี CNN Fear & Greed index แตะที่ระดับ 25 จุด 2.) สงครามอิสราเอล-ฮามาสยังคงจำกัดวง ยังไม่ได้บานปลายเป็น Proxy war หรือมีประเทศสำคัญในตะวันออกกลางเข้าร่วม และ 3.) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี (US10Y bond yield) ล่าสุดปรับตัวลดลงกว่า 16bps. มาที่ระดับ 4.84% หลังแตะแนวต้านที่ 5% จากนักลงทุนที่เปิด position short ก่อนหน้านี้ขายทำกำไรบนความกังวลภาวะ Recession จากสงครามและเริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวของเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยประเมินแนวรับที่ 1,390 จุดเป็นแนวรับสำคัญ อิงจากค่าเฉลี่ย fwd P/E ย้อนหลัง 15 ปีที่ 13.9x(ย้อนไปถึงปี 2008 ที่หุ้นไทยยังเทรด fwd P/E 12x) และ EPS คาดการณ์ของ Bloomberg Consensus ที่ 100 จุด
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.) สหรัฐฯ รายงานตัวเลข Budget deficit ในปี FY2023 ที่ 6.3% ของจีดีพี มากกว่าคาดการณ์ที่ 5.4% จากรายรับภาษีพลาดเป้า และดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น ทั้งนี้รัฐบาลสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าการขาดดุลจะยังอยู่ในระดับสูงที่ 6.1% ของจีดีพีในปีFY2024 ส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องออกพันธบัตรเพิ่มทำให้ US10Y bond yield ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อ
2.) ติดตามการรายงานตัวเลขส่งออกของไทยเดือน ก.ย. คาด -1.75% YoY โดยคาดจะมีผลกับกลุ่มส่งออกชิ้นส่วน/อาหารสัตว์เลี้ยง/สินค้าเกษตร
3.) ติตดามนโยบายภาครัฐที่จะกระตุ้นการท่องเที่ยวต่อเนื่อง โดยล่าสุดนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่าเตรียมยกเว้นวีซ่าให้จีนถาวร พ่วงไต้หวัน-อินเดีย ยกเลิกใบ ตม.6 ให้มาเลย์ที่เข้าด่านสะเดา หลังที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม2566 ที่ผ่านมา ได้อนุมัติขยายเวลาการพำนักของนักท่องเที่ยวรัสเซีย จาก 30 วันเป็น 90 วัน ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566-30 เมษายน 2567
4.) ติดตามตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาที่มีแนวโน้มชะลอตัวใน 4Q23 หลังบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ กรุ๊ป หรือเอ็มไอ กรุ๊ป ให้มุมมองว่าค่าครองชีพ พุ่ง-หนี้ครัวเรือนสูง-กำลังซื้อทรุด และสงครามผสมโรง คาดสิ้นปีเม็ดเงินโฆษณาโตเพียง4.4% มูลค่าตลาดรวม 8.5 หมื่นล้าน ซึ่งต่ำกว่าที่คาดว่าจะโต 5-8%
5.) ติดตามแนวโน้มการเร่งตัวของยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย หลังแบรนด์จีนออกแคมเปญหั่นราคาโค้งสุดท้ายของปีก่อนงานมอเตอร์โชว์ 30 พย. – 11 ธ.ค. และก่อนหมดมาตรการเงินอุดหนุนในวันที่ 31 ธ.ค. โดยผู้สื่อข่าว”ประชาชาติธุรกิจ” รายงานยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า ประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน7 คน ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย.) พบว่ามียอดจดทะเบียนทั้งสิ้น 50,004 คัน ขณะที่ยอดจดทะเบียนรวม ทั้งเก๋ง มอเตอร์ไซค์บรรทุก และรถโดยสาร มีจำนวนทั้งสิ้น 66,544 คัน (+260% YoY)
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,390 – 1,425 จุด โดย sentiment หุ้นไทยยังคงเปราะบางจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวสูงขึ้นกดดันจากนโยบายการเงินของเฟด, ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และนโยบายภาครัฐที่ต้องทำขาดดุลงบประมาณเพิ่ม ทั้งนี้ Thai 10Y bond yield ได้ปรับตัวขึ้นมาที่ 3.37% หรือเพิ่มขึ้น 73bps. จากต้นปี โดยทุกๆ 25 bps. ที่เพิ่มขึ้นของ Thai 10Y bond yield จะกด SET index ราวๆ 50 จุด ทั้งนี้ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ได้แก่ 1.) การประกาศกำไร 3Q23 ของบริษัทจดทะเบียน;2.) ทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศ โดยรัฐบาลจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมของโครงการดิจิตอลวอลเล็ตในวันที่ 24 ต.ค.; 3.) ราคาน้ำมันดิบจากความเสี่ยงที่สงครามอิสราเอล-ฮามาสจะขยายวงในตะวันออกกลาง; และ 4.) ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือนก.ย. ของไทย, ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นของยุโรป และสหรัฐฯ เดือน ต.ค., ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/66 ของสหรัฐฯ และดัชนี PCE/Core PCE Indice ของสหรัฐฯ เดือนก.ย.
หุ้นแนะนำวันนี้
ADVANC (ราคาพื้นฐาน 240.57 บาท) คาดกำไรไตรมาส 3/66 แข็งแกร่งที่ 7.12 พันลบ. (+14.4% YoY, -1.3% QoQ) และเป็นหลุมหลบภัยยามตลาดผันผวน โดยคาดอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ 3.7%/4.5% สำหรับปี 2566-67
BBL (ราคาพื้นฐาน 196 บาท) BBL รายงานกำไรไตรมาส 3/66 ที่ 1.135 หมื่นลบ. ทรงตัว QoQ และเพิ่มขึ้น 48% YoY ซึ่งสูงกว่าประมาณการของเรา 14% จาก Opex ที่ต่ำกว่าคาด NIM ที่สูงขึ้นและต้นทุน/รายได้ที่ลดลง หนุนทั้ง PPOP และการเติบโตของกำไรในไตรมาส 3/66 คุณภาพสินทรัพย์ดูดีกว่าที่คาดไว้เล็กน้อย คาดกำไรเติบโตแข็งแกร่ง YoY ในไตรมาส 4/66 และประเมินอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ 5.0%/5.7% สำหรับปี 2566-67
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันอังคาร ติดตาม ตัวเลขส่งออกของไทยเดือน ก.ย. คาด -1.75% YoY, นำเข้า -5.55% YoY,และคาดไทยเกินดุลการค้า US$400mn ตัวเลขดัชนีภาคการผลิตของยุโรปและสหรัฐเบื้องต้น (Flash Manufacturing PMI) สำหรับเดือนต.ค. ตลาดคาดที่ 43.7 และ 49.5 จุด เทียบจากเดือนก่อนหน้าที่ 43.4 และ 49.8 จุดตามลำดับ
- วันพุธ ติดตามดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมัน (German Ifo Business Climate) เดือน ต.ค. ตลาดคาดที่86.0 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 85.7 จุด และต่อด้วยตัวเลขยอดขายบ้านใหม่ของสหรัฐฯ (New Home Sale) เดือน ต.ค. ตลาดคาดที่ 6.79 ล้านยูนิต เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 6.75 ล้านยูนิต
- วันพฤหัสฯ ติดตามการประชุมธนาคารกลางของยุโรป (ECB) ตลาดคาดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.50% ต่อด้วยตัวเลข GDP ของสหรัฐฯสำหรับ ไตรมาส 3/2566 ตลาดคาดขยายตัว 4.1% QoQ เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 2.1% QoQ
- วันศุกร์ ติดตามตัวเลขดัชนีราคารายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลของสหรัฐฯ (Personal Consumption Expenditure Price Index) เดือน ก.ย. ตลาดคาดจะเพิ่มขึ้นที่ 0.3% MoM เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 0.1% MoM และตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค University of Michigan ของสหรัฐฯ สำหรับเดือน ต.ค. ตลาดคาดที่ 63 จุดเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 68.1 จุด