บล.บัวหลวง:

SCG Packaging (SCGP TB / SCGP.BK)

SCGP – กำไรไตรมาส 3/66 เป็นไปตามคาด; คาดไตรมาส 4/66 เติบโต QoQ

เป็นไปตามคาด

SCGP รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ที่ 1,324 ล้านบาท ลดลง 28% YoY และ 11% QoQ หากไม่รวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 89 ล้านบาท กำไรหลักจะอยู่ที่ 1,413 ล้านบาท ลดลง 12% YoY แต่เพิ่มขึ้น 3% QoQ ผลประกอบการเป็นไปตามที่เราและตลาดคาด

ประเด็นสำคัญจากผลประกอบการ

ปัจจัยที่ส่งผลให้กำไรหลักปรับตัวลดลง ได้แก่ 1) รายได้จากการขายของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรที่ลดลง (ปริมาณขายและราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ลดลง), 2) รายได้จากการขายของสายธุรกิจเยื่อและกระดาษที่ลดลง (ปริมาณขายและราคาขายเยื่อกระดาษที่ลดลง), 3) ค่าซ่อมบำรุงใหญ่ (สำหรับโรงงานผลิตเยื่อกระดาษ), 4) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น (สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายอยู่ที่ 12.1% เพิ่มขึ้นจาก 10.7% ในไตรมาส 3/65 และ 11.7% ในไตรมาส 2/66), 5) ดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น, และ 6) รายได้อื่นที่ลดลง อย่างไรก็ตามกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินงานธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากกระดาษและโพลีเมอร์ (ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรที่สูงขึ้นซึ่งได้รับแรงหนุนจากต้นทุนที่ลดลงทั้งในส่วนของต้นทุนวัตถุดิบ RCP และต้นทุนด้านพลังงานที่ลดลง (ส่วนใหญ่มาจากการใช้ถ่านหิน) ช่วยบรรเทากำไรหลักที่ลดลงได้บางส่วน

EBITDA margin ของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรอยู่ที่ 15% เพิ่มขึ้นจาก 13% ในไตรมาส 3/65 (ทรงตัว QoQ) ในขณะที่ EBITDA margin ของสายธุรกิจเยื่อและกระดาษอยู่ที่ 13% ลดลงจาก 19% ในไตรมาส 3/65 และ 16% ในไตรมาส 2/66

แนวโน้ม

หากมองไปไตรมาส 4/66 คาดปริมาณขายของ SCGP จะปรับตัวขึ้น YoY และ Q0Q หนุนโดยอุปสงค์กระดาษบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้นทั้งใน ASEAN และประเทศจีน และปริมาณขายเยื่อกระดาษที่เพิ่มขึ้น อุปสงค์เยื่อกระดาษมีแนวโน้มฟื้นตัวตามฤดูกาลในไตรมาสที่ 4 เนื่องจากปกติแล้วไตรมาสที่ 3 จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของการขาย นอกจากนี้ยัง มีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานเยื่อกระดาษครั้งใหญ่ในไตรมาส 3/66 เมื่อมองไปในด้านต้นทุน เราคาดว่าแรงกดดันด้านต้นทุนจะลดลง YoY ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4/66 (ทรงตัว QoQ) ดังนั้นเราจึงคาดว่ากำไรหลักของ SCGP ในไตรมาส 4/66 จะเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ

สิ่งที่เปลี่ยนแปลง

แม้ว่ากำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 2566 คิดเป็น 72% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 5,622 ล้านบาท แต่เรายังคงประมาณการกำไรดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากเราคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/66 จะเพิ่มขึ้น QoQ นอกจากนี้เราปรับเป้าหมายการลงทุนของเราไปเป็น ณ สิ้นปี 2567 ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ตามวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ที่ 58 บาท (WACC ที่ 7.7% และ Terminal Growth ที่ 3.5%)

คำแนะนำ

คาดการณ์การเติบโตของกำไรในไตรมาส 4/66 น่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป และยังมีอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายของเราจากการลงทุนใหม่ๆ ซื้อ!

- Advertisement -