ยอดขายบ้านสหรัฐฯแกร่งกดดันตลาดหุ้น

Market Update

ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 0.3% หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีปรับขึ้นแข็งแกร่งอีกครั้ง ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 2.3% หลังอิสราเอลประกาศพร้อมโจมตีพื้นดินในฉนวนกาซา

Market Outlook

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานยอดขายบ้านมือหนึ่งที่ 7.59 แสนหลังคาเรือน สูงกว่า Bloomberg Consensus คาดไว้อย่างมาก โดยคาดไว้ 6.78 แสนหลังคาเรือน ซึ่งทำให้ US Bond Yield อายุ 10 ปี พลิกกลับมาดีดตัวแรงทดสอบ 4.9% อีกครั้งจากวันก่อนหน้าที่ชะลอตัวลงเล็กน้อย กดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯกลับมาผันผวนโดย Dow Jones ปรับฐาน 0.3% และ Nasdaq ปรับฐานแรงถึง 2.4% พร้อมกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับขึ้นมาแข็งค่าทดสอบระดับ 106.56 สำหรับปัจจัยในประเทศมีความคืบหน้ามากขึ้นกับนโยบายเงิน Digital ของภาครัฐ โดยจะเริ่มพิจารณามากขึ้นเกี่ยวกับการให้เงิน ซึ่งอาจกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ฐานเงินเดือนหรือเงินฝากธนาคารแบ่งได้ดังนี้ (1) กลุ่มที่รายได้ / เงินเดือน มากกว่า 2.5 หมื่นบาท หรือ มีเงินฝาก 1 แสนบาท ไม่ควรได้รับการโอนเงิน Digital (2) กลุ่มที่รายได้มากกว่า 5 หมื่นบาท หรือ มีเงินฝาก 5 แสนบาท ไม่ควรได้รับเงิน Digital โดยเบื้องต้นจะให้เพียงกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและเป็นกลุ่มผู้ยากไร้จำนวน 15 – 16 ล้านคน (ใช้วงเงินเพียง 1.6 แสนล้านบาท) พร้อมใช้ได้กับสินค้าเกี่ยวข้องกับอุปโภคบริโภคเป็นหลักในเขตอำเภอและบังคับใช้ภายใน 6 เดือน แหล่งที่มาของเงินจะมาจากงบประมาณเป็นหลักรวมถึงการกู้เงินหลากหลายวิธี ส่วนการกู้ธนาคารออมสินจะเป็นทางเลือกสุดท้าย เรามองปัจจัยข้างต้นอาจสร้างแรงกดดันบ้างต่อกลุ่มค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) เนื่องจากเสมือนว่าวงเงินในการกระตุ้นมีแนวโน้มจะลดลง และอาจไม่สามารถใช้กับร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ได้ อย่างไรก็ตามมอง CPALL จะรับผลบวกมากสุดจากการที่มี Makro เชื่อว่าจะเป็น Supplier ขนาดใหญ่ให้กับร้านค้าขนาดกลาง – เล็ก นอกจากนี้อาจสร้าง Downside ต่อ GDP 2Q24 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินไว้ที่ 4.4% ตามวงเงินกระตุ้นที่น้อยลง สำหรับการตอบรับของตลาดพันธบัตรเริ่มเห็นการอ่อนตัวของ TH Bond Yield 10 ปี จากการที่วงเงินก่อหนี้มีแนวโน้มลดลงจากช่วงก่อนหน้า ช่วยคลายกังวลกับ Earnings Yield Gap ได้เล็กน้อย

วันนี้ประเมิน SET ปรับตัวลงในกรอบ 1385 – 1400 เชิงกลยุทธ์การลงทุนยังมองเป็นโอกาสสะสมสำหรับลงทุนระยะกลาง – ยาว เน้นที่หุ้นขนาดใหญ่ อาทิ ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) ธนาคาร (BBL KBANK KTB SCB) ศูนย์การค้า (CPN) ส่วนระยะสั้นเลือกกลุ่มน้ำมัน (PTTEP) และ โรงกลั่น (BCP SPRC TOP) เป็นกลุ่มน่าสนใจสำหรับ Trading

หุ้นแนะนำซื้อวันนี้

PTTEP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 180.00 บาท)

ภาพรวมไตรมาส 4/23 และปี 2024 ก็ยังสดใสอยู่ หนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มหลังจาก OPEC+ ขยายการปรับลดปริมาณผลิต บวกกับปริมาณขายที่โตขึ้น (9% YoY in 2024) จากการเร่งกำลังผลิตที่แหล่ง G1/61

TOP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 64.00 บาท)

คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/23 ที่ 9.9 พันล้านบาท พุ่งขึ้นจาก 11 ล้านบาทในไตรมาส 3/22 และ 1.1 พันล้านบาทในไตรมาส 2/23 หนุนจากค่าการกลันที่สูงขึ้น และกำไรจากสต็อกน้ำมัน 8.9 พันล้านบาท เพราะราคาน้ำมันที่สูงขึ้น  แต่กำไรที่ปรับเพิ่มขึ้นจะได้รับผลกระทบส่วนหนึ่งจากขาดทุนรายการพิเศษ 5.2 พันล้านบาท ขาดทุนสุทธิจากการป้องกันความเสี่ยงที่ 4.5 พันล้านบาท และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่ 700 ล้านบาท

- Advertisement -