บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Sunsweet (SUN) พื้นฐานยังแกร่ง แต่ราคาหุ้นอาจถูกปรับลด Valuation ลง
Action BUY (Maintain)
- TP upside (downside) +21.1%
- Close Oct 26, 2023 Price (THB) 4.46
- 12M Target (THB) 5.40
- Previous Target (THB) 8.20
What’s new?
- คาดกำไรปกติ 3Q66 ที่ 106 ลบ. (+3.5% QoQ, +24.5% Yoy) ทำระดับสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่องจากเป็นช่วง High Season ของธุรกิจและได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทเทียบ USD อ่อนค่า
- คาดแนวโน้มกำไรปกคิ 4Q66 ชะลอลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล แต่จะเติบโตเด่น YoY จากฐานต่ำในปีก่อนที่มีปัญหาด้านผลผลิตได้รับผลกระทบจากอุทกภัยทำให้สินค้าบางส่วนไม่สามารถผลิตส่งมอบลูกค้าได้
Our view
- เรายังคงมุมมองบวกต่อภาพระยะยาวของ SUN แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่อาจถดถอยและกระทบต่อปริมาณความต้องการของลูกค้า
- เราปรับลด PER ในการประเมินมูลค่าลงเป็น 10.2 เท่า เพื่อเพิ่มความระมัดระวังและสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าว และปรับไปใช้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2567 ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 5.40 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”
คาดกำไรปกติ 3Q66 ทำ New High ต่อ
เราคาดกำไรสุทธิ 3Q66 ของ SUN ที่ 81 ลบ. แต่คาดมีขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์จากการป้องกันความเสี่ยงด้านค่าเงินราว 25 ลบ. ทำให้คาดกำไรปกติของ SUN จะทำระดับสูงสุดใหม่ได้ต่ออยู่ที่ 106 ลบ. (+3.5% QoQ, +24.5% YoY) จากการเติบโตของรายได้ที่คาดที่ 974 ลบ. (+4.1% QoQ,+18.7% YoY) ได้แรงหนุนจากการรับรู้กำลังการผลิตใหม่ (+30%) และคำสั่งซื้อของลูกค้าหลักที่สูงขึ้นต่อเนื่องเพราะเป็นช่วง High Season ของการส่งออกและได้ออเดอร์จากลูกค้าในออสเตรเลียเพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับตัวเลขการส่งออกข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องของไทยในช่วงเดือนเดือน ก.ค.-ก.ย. ที่มีการเติบโตเฉลี่ย 24.2% YoY ประกอบกับค่าเงินบาทเทียบ USD ที่อ่อนค่า และอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นตามปริมาณผลผลิตที่สูงขึ้นเป็นราว 55,000 ตัน (จาก 2Q66 ที่ราว 50,000 ตัน) หนุน GPM คาดสูงขึ้นเล็กน้อยเป็น 21.2% จาก 20.9% ใน 2Q66 และ 20.2% ใน 3Q65
แนวโน้มกำไรปกติ 4Q66 ชะลอลง QoQ ตามฤดูกาล แต่เติบโต YoY
เราประเมินแนวโน้มกำไรปกติใน 4Q66 จะชะลอลง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลที่ผ่านพ้นช่วง High Season และเข้าสู่ช่วงเทศกาลหยุดยาว และเรามองว่าค่าเงินบาทเทียบ USD ที่เริ่มแข็งค่าขึ้นอาจกระทบ GPM ให้ชะลอลง แต่คาดจะเติบโตได้เด่น YoY เนื่องจากฐานต่ำในปีก่อนที่บริษัทเผชิญปัญหาด้านปริมาณผลผลิตที่น้อยกว่าปกติ จากผลกระทบของอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ทำให้ไม่สามารถผลิตและส่งมอบสินค้าได้ทัน แต่ปัจจุบันกลับสู่ภาวะปกติและปริมาณมีคำสั่งซื้อของลูกค้าที่สูงขึ้น YoY โดยเรายังคงกำไรปกติปี 2566 ที่ 344 ลบ. (+101.5% YoY) โดยหากกำไร 3Q66 ออกมาใกล้เคียงคาดจะทำให้กำไรปกติ 9M66 คิดเป็นสัดส่วน 86% ของกำไรทั้งปีของเรา จึงมองว่าประมาณการกำไรของเรามี Upside
ปรับราคาเป้าหมายลง สะท้อนปัจจัยเสี่ยงด้านมหภาค แต่ยังคงคำแนะนำ ซื้อ
ขณะที่ระยะยาวเรายังคงมุมมองบวกว่าบริษัทจะเติบโตได้ต่อในปี 2567 จากปริมาณคำสั่งซื้อของลูกค้าที่สูงขึ้นและการวางแผนจัดการด้านผลผลิตของบริษัทที่ทำได้ดีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าผลลประกอบการอาจมีความเสี่ยงจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลกที่อาจเข้าสู่ช่วง Recession ซึ่งจะกระทบปริมาณความต้องการสินค้าของลูกค้า เราจึงปรับลด PER ลงในการประเมินมูลค่าเป็น 10.2 เท่า (เทียบเท่า -0.75 SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต) จากเดิมที่ 15.3 เท่า เพื่อเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นและสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าว และปรับไปใช้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2567 ทำให้ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 5.40 บาท ซึ่งยังมี Upside จากราคาปัจจุบัน 21.1% จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”