บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
The Siam Cement (SCC) งบต่ำกว่าคาดจากรายการด้อยค่า
Action BUY (Maintain)
- TP upside (downside) +20.2%
- Close Oct 26, 2023 Price (THB) 287.00
- 12M Target (THB) 345.00
- Previous Target (THB) 370.00
What’s new?
- ประกาศงบ 3Q66 กำไรสุทธิ 2.4 พันล้านบาท (-70% QoQ และทรงตัว YoY) ต่ำกว่าที่เราคาด 9% และตลาดคาด 24% เพราะมีรายการด้อยค่าสินทรัพย์ที่ไม่อยู่ในคาดการณ์
- กำไรปกติทำได้ 2.3 พันล้านบาท ดีกว่าเราคาด แต่ต่ำกว่าตลาดคาด และภาพรวมอ่อนแอ -67% QoQ -27%YoY จากปัจจัยมหภาคเปราะบาง, ราคาน้ำมันสูง, อุปทานปีโตรเคมีใหม่เข้าสู่ตลาด, อุปสงค์วัสดุก่อสร้างในอาเซียนอ่อนแอ
Our view
- ปรับกำไรปี 2566 – 2567 ลง 9-11% เป็น 3.0 หมื่นล้านบาท และ 3.1 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ประเมินราคาเหมาะสมใหม่ 345.00 บาท
- คงคำแนะนำ “ซื้อ” จาก Upside Gain สูง และราคาหุ้นมี Valuation ไม่แพง (PBV ต่ำกว่า -2.0 SD)
- ทั้งนี้เชิงกลยุทธ์ยังไม่ต้องรีบเข้าซื้อ เพราะไม่มี Catalyst บวกระยะสั้น เนื่องจากงบ 3Q66 ต่ำกว่าคาด , แนวโน้ม 4Q66 ยังไม่ฟื้นอย่างมีสาระสำคัญ เพราะเป็นช่วงปิดซ่อมใหญ่ 45 วัน, ความเสี่ยงราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น, ตลาดมีโอกาสปรับลดคาดการณ์ลงอีก
ประกาศงบ 3Q66 อ่อนแอกว่าคาด กดดันจากรายการด้อยค่า
ประกาศกำไรสุทธิ 3Q66 อยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท (-70% QoQ และทรงตัว YoY) ต่ำกว่าที่เราประเมินไว้ 9% แต่ต่ำกว่าที่ Bloomberg Consensus คาด 24% สาเหตุหลักมาจากผลขาดทุนด้อยค่าสินทรัพย์โรงงานปูนซีเมนต์ในเมียนมา 578 ล้านบาท ซึ่งไม่อยู่ในคาดการณ์ของเราและตลาด หากไม่รวมรายการดังกล่าวและกำไรสินค้าคงคลัง 698 ล้านบาท กำไรปกติจะทำได้ 2.3 พันล้านบาท ดีกว่าที่เราคาด แต่ยังต่ำกว่าที่ตลาดประเมินไว้ และยังอยู่ระดับอ่อนแอ -67% QoQ และ -27% YoY ภาพรวมถือเป็นไตรมาสที่อ่อนแอ 1) แม้ว่าธุรกิจเคมีภัณฑ์จะฟื้นตัว QoQ และ YoY จากปริมาณขาย และกำไรสินค้าคงคลัง (เทียบกับ 3Q65 ขาดทุนสต็อกสูง) อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตลาดปิโตรเคมียังอ่อนแอจากเศรษฐกิจโลก, ปัญหาเงินเฟ้อ – ราคาน้ำมันอยู่ระดับสูง, อุปสงค์ชะลอตัว, อุปทานใหม่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคา – ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีลดลงทั้ง QoQ และ YoY 2) ธุรกิจวัสดุก่อสร้างพลิกเป็นขาดทุนเมื่อเทียบกับ 2Q66 และ 3Q65 กดดันจากรายการด้อยค่าสินทรัพย์ และตลาดในภูมิภาคอาเซียนที่ท้าทาย โดยเฉพาะเวียดนาม กัมพูชา 3) ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปรับตัวลดลงทั้ง QoQ และ YoY จากการแข่งขันรุนแรงในตลาดอินโดนีเซีย
คาดหวังการฟื้นตัวทยอยเกิดขึ้นปี 2567
เราคาดหวังสถานการณ์จะทยอยฟื้นตัวในปี 2567 หนุนจาก 1) อานิสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศภายใต้รัฐบาลชุดใหม่เริ่มเห็นผล 2) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค 3) ปัญหาอุปทานปิโตรเคมีล้นตลาดเบาบางลง โดยเฉพาะกลุ่ม PE หลังกำลังผลิตใหม่ทยอยชะลอตัว 4) การเปิดใช้งานโครงการ LSP ช่วยเพิ่มกำลังผลิต และความยืดหยุ่นด้านวัตถุดิบ
ระยะสั้น 4Q66 ยังท้าทาย ปรับกำไรปี 2566 – 2567 ลง 9-11%
แนวโน้ม 4Q66 ยังอยู่ในสถานการณ์ท้าทาย โดยเมื่อเทียบกับ 3Q66 แม้มีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างหลังผ่านฤดูฝน ทำให้กิจกรรมการก่อสร้างเร่งตัวขึ้น และรับรู้รายได้จากเงินปันผลรับเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล อย่างไรก็ตาม คาดผลประกอบการยังไม่เด่นจาก 1) เศรษฐกิจเปราะบาง 2) ความเสี่ยงด้านต้นทุนพลังงานจากสถานการณ์สงคราม 3) แผนหยุดซ่อมบำรุงโรงงาน ROC ช่วงเดือนพ.ย. ราว 45 วัน ดังนั้น เราปรับกำไรสุทธิปี 2566- 2567 ลง 9-11% เป็น 3.0 หมื่นล้านบาท (+41% Yoy) และ 3.1 หมื่นล้านบาท (+2% YoY) ตามลำดับ โดยหลักมาจาก 1) การรวมรายการพิเศษทางบัญชีที่เกิดขึ้นใน 9M66 กว่า 1.3 หมื่นล้านบาทเข้ามาไว้ในประมาณการ (เช่น กำไรการปรับโครงสร้าง SJWD/NoCNoc, รายการด้อยค่าสินทรัพย์, กำไร/ขาดทุนสินค้าคงคลัง) 2) ปรับสมมติฐานอัตรากำไรธุรกิจปิโตรเคมีให้ระมัดระวังมากขึ้น 3) ปรับเพิ่มค่าเสื่อมราคา และต้นทุนการเงินจากการทยอย COD โครงการ LSP
Valuation ไม่แพง แต่ยังไม่มี Catalyst ระยะสั้น และเห็นความเสี่ยงถูก Downgrade
ประเมินราคาเหมาะสมใหม่ 345.00 บาท อ้างอิง PBV ที่ 1.0 เท่า Discount -2.0 SD จากค่าเฉลี่ย 5 ปี (เดิม -1.50 SD) สะท้อนความเสียงของตลาดทุนจากภาวะเศรษฐกิจโลกเปราะบาง, สถานการณ์สงคราม, อัตราดอกเบี้ยสูง แม้เชิง Valuation ปัจจุบันหุ้นซื้อขายบน PBV ที่ 0.9 เท่า (Discount จากค่าเฉลี่ยกว่า -2.0 SD) ถือว่า Downside จำกัด และมี Upside Gain สูง 20% ทางพื้นฐานจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” อย่างไรก็ตามเชิงกลยุทธ์แนะนำยังไม่ต้องรีบเข้าลงทุน ระยะสั้นคาดหุ้นถูกกดดันจากงบ 3Q66 ต่ำกว่าคาด ทิศทาง 4Q66 ยังไม่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้หุ้นมีความเสี่ยงถูกตลาดปรับลดคาดการณ์กำไร