บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Global Power Synergy (GPSC) กำไรยังดี หุ้นลงมากเกินไป
Action BUY (Maintain)
- TP upside (downside) +47.1%
- Close Oct 26, 2023 Price (THB) 38.75
- 12M Target (THB) 57.00
- Previous Target (THB) 64.00
What’s new?
- แม้ค่าไฟฟ้า 3Q66 ได้รับผลกระทบจากนโยบายลดค่าไฟ อย่างไรก็ตาม คาดกำไรสุทธิจะทำได้ 1.5 พันล้านบาท เติบโต 3-4 เท่า QoQ และ YoY หนุนจากการผลิตราบรื่น, ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น, อุปสงค์ IU, ต้นทุนเชื้อเพลิง – ค่าใช้จ่ายลดลง
- แนวโน้ม 4Q66 ชะลอลงตามนโยบายค่าไฟ และปัจจัยฤดูกาล ทั้งนี้ กำไรยังเติบโต YoY
- ปรับราคาเหมาะสมเป็น 57.00 บาท จากการปรับ WACC เป็น 6.5% (เดิม 6.0%) สะท้อนความเสี่ยงจากปัจจัยมหภาค – ภาวะดอกเบี้ยสูง
Our view
- ตั้งแต่เดือนเม.ย. หุ้น -43% แย่กว่า SET -15% จากการแทรกแซงค่าไฟฟ้า และ Bond Yield พุ่งขึ้น ทั้งนี้ 1) 1-2 เดือนหน้าจะไม่มีนโยบายลดค่าไฟเพิ่มเติม 2) การแทรกแซงค่าไฟรอบหน้าไม่รุนแรงเท่าครั้งนี้ 3) แนวทางนโยบาย Digital Wallet ใหม่ลดภาระด้านงบประมาณ 4) FOMC มีโอกาสคงดอกเบี้ยเดือนพ.ย.
- PER PBV ใกล้เคียงจุดต่ำสุดตั้งแต่เข้าตลาด (ปี 2558 – 2559) แต่กำไรปี 2566 – 2567 ยังสูงกว่าช่วงดังกล่าว แนะนำ “ซื้อ” และให้ติดตามการช่วยเหลือต้นทุนก๊าซของ PTT ช่วยปิดความเสี่ยงด้านต้นทุน
คาด 3Q66 กำไรฟื้นตัวได้ดี QoQ และ YoY ทำระดับสูงสุดรอบ 7 ไตรมาส
แม้ 3Q66 ราคาขายไฟฟ้าให้ลูกค้า IU จะได้รับผลกระทบจากนโยบายค่าไฟเดือนก.ย. – ธ.ค. เหลือ 3.99บาท/หน่วย (vs เดือนพ.ค. – ส.ค. ที่ 4.70 บาท/หน่วย) อย่างไรก็ตาม เราประเมินกำไรสุทธิ 3Q66 จะทำได้ 1.5 พันล้านบาท (+374% QoQ, +343% YoY) สูงสุดรอบ 7 ไตรมาส จาก 1) Glow Phase 5 ผลิตได้เต็มไตรมาส (2Q66 ปิดซ่อม 25 วัน) 2) อุปสงค์ไฟฟ้า – ไอน้ำเพิ่มขึ้นหลังลูกค้า IU ซ่อมบำรุงลดลง 3) ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นตามปริมาณน้ำของเขื่อนไชยะบุรี 4) ต้นทุนก๊าซ – ถ่านหินต่ำลงอย่างมาก 5) ค่าใช้จ่ายลดลง
4Q66 ชะลอตามฤดูกาล และนโยบายค่าไฟ…แต่ยังโต YoY
แนวโน้ม 4Q66 ชะลอลง QoQ จากอุปสงค์ตามฤดูกาล, ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น, แผนซ่อมบำรุงของลูกค้า IU, ผลกระทบนโยบายค่าไฟ 3.99 บาท/หน่วย เต็มไตรมาส ทั้งนี้ เราเชื่อว่ากำไร 4Q66 จะเติบโต YoY ระดับ 7-9 ร้อยล้านบาท จากการขยายกำลังผลิต – ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้นสามารถชดเชยผลกระทบนโยบายค่าไฟฟ้าได้ (กระทบเฉพาะการจำหน่ายไฟฟ้าให้ลูกค้า IU สัดส่วน 20-25% ของรายได้รวม และค่าไฟฟ้าระดับดังกล่าว คาดยังมีกำไร 0.5 บาท/หน่วย) หาก 3Q66 เป็นไปตามคาด งบ 9M66 จะทำได้ 80% ของทั้งปี คงประมาณการปี 2566 ที่ 3.6 พันล้านบาท +307% YoY สะท้อนว่ากำไรผ่านจุดต่ำสุดในปีก่อนมาแล้ว
แรงกดดันจาก Bond Yield และนโยบายค่าไฟสะท้อนไปในราคาหุ้นหมดแล้ว
ตั้งแต่เดือนเม.ย. GPSC -43% (VS SET -15%) สาเหตุหลักจากนโยบายลดค่าไฟฟ้า (ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง) และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (โดยเฉพาะตั้งแต่เดือนส.ค. ที่มีความไม่ชัดเจนจากนโยบาย Digital Wallet) อย่างไรก็ตาม เรามองแรงกดดันจากปัจจัยทั้ง 2 สะท้อนไปในราคาหุ้นหมดแล้ว และโอกาสเกิด Downside เพิ่มเติมจำกัด โดย 1) เชื่อว่าภาครัฐจะไม่มีนโยบายแทรกแซงค่าไฟเดือนก.ย. – ธ.ค. เพิ่มเติม มองข้ามไปเดือนม.ค. – เม.ย. คาดการแทรกแซงจะไม่รุนแรงเท่ารอบที่ผ่านมา เพราะสถานะการเงินของ EGAT เริ่มไม่มั่นคง, การใช้ไฟฟ้าในฤดูหนาวไม่สูง, ค่าไฟฟ้าลดลงตามธรรมชาติสอดคล้องการเร่งผลิตของโครงการเอราวัณ (ผู้ผลิตมั่นใจระดับ 800mmscfd ในเดือนเม.ย. 2567) 2) การเพิ่มขึ้นผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศจะเริ่มชะลอลง จากโอกาส FOMC คงดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 1 พ.ย. และแนวทางนโยบาย Digital Wallet ใหม่ จะลดความต้องการใช้งบประมาณของรัฐบาลลง
ไม่ว่าด้าน PER หรือ PBV อยู่ในโซนเกือบต่ำสุดตั้งแต่เข้าตลาด
ทั้งนี้ เพื่อให้สมมติฐานค่าไฟฟ้าระมัดระวังขึ้น เราปรับกำไรสุทธิปี 2567 ลง 11% เป็น 5.3 พันล้านบาท (+47% YoY) ประเมินราคาเหมาะสมใหม่ 57.00 บาท โดยปรับ WACC เป็น 6.5% จาก 6.0% สะท้อนความไม่แน่นอนด้านปัจจัยมหภาค และภาวะดอกเบี้ยสูง ปัจจุบันหุ้นซื้อขายบน PER ปี 2567 15.1 เท่า (-1.5 SD) และ PBV ปี 2567 1.0 เท่า (-1.5 SD) ใกล้เคียงจุดต่ำสุดตั้งแต่เข้าตลาดที่ PER ระดับ 12 เท่า PBV 0.9 เท่า ช่วงปี 2558 – 2559 ซึ่งมีกำไรเพียง 2-3 พันล้านบาท จึงถือว่าราคาหุ้นสะท้อนข่าวลบมากเกินไป ปัจจุบันเหลือ Downside ไม่มากแล้ว คงคำแนะนำ “ซื้อ” ระยะยาวหุ้นมีการเติบโตจากการขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ และการเป็น Flagship ด้านสาธารณูปโภคของเครือ PTT ขณะที่ระยะสั้นมี Catalyst จากงบ 3Q66 แข็งแกร่ง และลุ้นข้อสรุปนโยบายช่วยเหลือต้นทุนก๊าซของ PTT ซึ่งจะลดผลกระทบนโยบายลดค่าไฟ และช่วยปิดความเสี่ยงต้นทุนก๊าซที่มักสูงช่วง 4Q66 (รายงานงบวันที่ 6 พ.ย.)