ไร้ปัจจัยใหม่ที่หนักแน่นพอ / 1,370-1,395
มุมมองตลาดหุ้นวันนี้
- SET ยังมีโอกาสซึมลงต่อ : ทางฝ่ายมองปัจจัยกดดันยังรุมเร้าทั้งจาก 1) Sentiment เชิงลบตุลาดหุ้นฝั่งสหรัฐที่ปิดลบคืนวันศุกร์ จากความกังวลเฟดจะใช้ดอกเบียสงยาวนานโดย Fed Watchtool เทน้ำหนักคงดอกเบี้ยสำหรับการประชมในวันที่ 31 ต.ค.- 1 พ.ย. นี้ และเฟดจะใช้ดอกเบี้ยระดับสูงยาวนานถึงกลางปีหน้า ขณะที่ 2) ดัชนีการใช้จ่ายส่วนบุคคล ซึ่งรวมถึงราคาอาหารและพลังงานในฝั่งสหรัฐ (PCE) เดือน ก.ย. เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด 0.3%m-mา สู่ 0.4%m-m และเพิ่มขึ้น 3.4%y-y สอดคล้องกับราคาน้ำมัน WTI เดือน ก.ย. ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 8.58%m-m รายงานดังกล่าวยังสะท้อนว่าผู้บริโภคลดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจลงโดยคาดการณ์เงินเฟ้อหนึ่งปีข้างหน้าเพิ่มขึ้นจาก 3.8% สู่ 4.2% และ 3) การเผยงบงวด 3Q66 บริษัทจดทะเบียนในฝั่งสหรัฐ และยุโรปยังไม่ดีนัก แม้ว่า Intel จะคาดการณ์กำไรสูงขึ้นใน 4Q66 แต่ยังถูกกดดันบรรยากาศจากบริษัทน้ำมันรายใหญ่ Exxon Mobill และ Chevron ที่เผย EPS ต่ำกว่าคาด 2.37$ และ 3.6$ สู่ 2.25$ และ 3.05$ ตามลำดับ 4) ในประเทศยังถูกกดด้นจากต่างชาติที่ยังเดินหน้าขายหุ้นไทยกว่า 1.2 หมื่น ลบ. MTD แม้วันศุกร์กลับมาซื้อห้นไทย 1.3 พันลบ. และต้องติดตามงบงวด 3Q66 บจ. ซึ่งคาด ADVANC จะเผยงบเชิงบวกทั้ง q-q และy-y เป็นความหวังพยุงดัชนีในวันพรุ่งนี้ รวมถึงงบการเงินจาก บจ. อื่น ๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ส่วนการประชุม BoJ วันพรุ่งนี้ คาดจะเดินหน้าผ่อนคลาย Yield Curve Control ต่อไป และมองจะสิ้นสุดนโยบายเชิงผ่อนคลายในช่วงสิ้นปีหน้า
- กลยุทร์การลงทุน : 1) ศก.จีนเริ่มเห็นสัญญาณฟื้น: IML, PTTGC, SCGP 2) Spending+ท่องเที่ยว: AOT, CENTEL, ERW, MAJOR และ 3) สะสมระยะยาวในหุ้น P/BV ต่ำ: BBL, BCPG, CPF, PSL, SPALI และหุ้นปันผลดี+สม่ำเสมอ: KKP, LH, SIRI, TCAP, TISCO
ปัจจัยบวก
- SCB EIC คาดการส่งออกของไทยในระยะต่อไปมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีแรงสนับสนุนจากปัจจัยราคาสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้น และปัจจัยฐานต่ำใน 4Q66 ขณะทิ่ปี 67 ส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวได้ 3.5%
- AOT เตรียมเปิดดำเนินการท่าอากาศยานเชียงใหม่ ตลอด 24 ชม. ตั้งแต่วันที่ 1พ.ย.66 เป็นต้นไป จากเดิมเปิดดำเนินการทำการบิน 18 ชม. หรือเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและเที่ยวบินที่จะเดินทางมายัง จ.เชียงใหม่
- กำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมจีนเดือนก.ย.ปรับตัวขึ้น 11.9%y-y เป็นการขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 และนับเป็นสัญญาณเพิ่มเติมที่แสดงให้เห็นว่าศก.จีนเริ่มมีเสถียรภาพ หลังจากรัฐบาลจีนออกมาตรการต่างๆ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของศก.
- สภาธุรกิจตลาดทุนไทยหารือกับนายกฯ จัดตั้งกองทุนคล้าย LTF อีกครั้ง หวังช่วยลดความผันผวนตลาดหุ้น โดยจากสถิติย้อนหลังพบว่าเม็ดเงินกองทุน SSF ช่วงเดือน ธ.ค. แต่ละปีลดลงกว่า 2 หมื่นลบ.
ปัจจัยลบ
- สศค.คาดศก.ไทยปี 66 จะขยายตัวที่ 2.7% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.2 – 3.2%) จากเดิมที่คาดไว้จะโตได้ 3.5% หลังคาดส่งออก -1.8% จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า และลงทุนภาครัฐทรงตัว เหตุกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 67 ล่าช้า
- กลุ่มฮามาสประกาศพร้อมเดินหน้าต่อสู้กับอิสราเอลเต็มกำลัง โดยขยายขอบเขตการโจมตีทั้งทางอากาศและพื้นดินในเขตฉนวนกาซา ซึ่งมองจะเป็นแรงกดดันต่ออุปทานน้ำมันและกดดันต่อแนวโน้มเงิน
- ผู้บริหารโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ เผยว่าบริษัทเตรียมปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสี 7,800 พันตัน รอบที่ 3 ในวันที่ 2 พ.ย.นี้ โดยในปีงบประมาณนี้มีแผนปล่อยน้ำปนเปื้อนทั้งหมด 4 รอบ สิ้นสุดเดือน มี.ค.67 คาดอาจทำให้ญี่ปุ่นเผชิญนโยบายคว่ำบาตรจากประเทศข้างเคียงมากขึ้น
PICKS OF THE DAY
MAJOR BUY
- เป้าหมาย 15.00 / 15.50 แนวรับ 14.30
- 4Q66 แนวโน้มดีตามหนัง: แม้ 3Q66 ผลกำไรจะไม่ดีนัก เนื่องจากหนังทำรายได้น้อย แต่ 4Q66 จะกลับมาดีขึ้น หลังจากหนัง “สัปเหร่อ” ทำรายได้สูงและ MAJOR รับรู้รายได้ถึง 26 ต.ค. ที่ 373 ลบ. สูงกว่า บุพเพฯ2 ในปีก่อนที่ 260 ลบ. อีกทั้ง ธี่หยด ที่เป็นหนังร่วมทุนก็มีแนวโน้มดี และหนังฮอลลีวูด/ไทย เช่น The Marvels, The Hunger Games 4, Aquaman 2, 4 King 2 และรับรู้ popcorn ที่เข้าขายใน 7-11
- 2567 หนังดียังเป็นตัวหนุนการฟื้นตัว: ปี 2567 หน้าหนังดีกว่าปี 2566 ทำให้แนวโน้มรายได้หนังคาดจะดีขึ้น รวมถึงรายได้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งโฆษณา อาหารเครื่องดื่ม โบว์ลิ่ง ทำให้คาดกำไรจะดีขึ้น y-y
PTTGC BUY
- เป้าหมาย 37.00 / 38.00 แนวรับ 34.00
- คาดพลิก 3Q66 พลิกกำไรจากธุรกิจโรงกลั่น : คาด 3Q66 กลับมามีกำไรตามค่าการกลั่นที่ปรับตัวขึ้นสูง รวมถึงกำไรจากสต๊อกน้ำมันตามราคาน้ำมันดิบ นอกจากนี้ธุรกิจปิโตรเคมี เริ่มมีปัจจัยหนุนจากการออกพันธบัตรกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน รวมถึงล่าสุดตัวเลขกำไรของบริษัทภาค อุตสาหกรรมจีนเดือน ก.ย.ที่ออกมาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือน ส.ค.
- P/BV ค่อนข้างต่ำ: ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ P/BV 0.56x (-1.46 SD เทียบค่าเฉลี่ย 5 ปี) ทางฝ่ายมองว่าราคาน่าจะมี Downside จำกัดแล้ว