บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Thai Stanley Electric (STANLY) 2Q66/67 เติบโตเล็กน้อย YoY ใกล้เคียงคาด
Action BUY (Maintain)
- TP upside (downside) +22.2%
- Close Oct 27, 2023 Price 173.50
- 12M Target 212.00
Earnings Results
- STANLY รายงานกำไรสุทธิใน 2Q66/67 (สิ้นสุด ก.ย.66) ที่ 495 ล้านบาท +57% QoQ, +2%YoY ใกล้เคียงกับประมาณการของเรา
- รายได้ +13%QoQ ,+5%YoY เป็น 3,745 ล้านบาท เทียบ QoQ เติบโตเด่นจากปัจจัยฤดูกาล ซึ่งไตรมาส 2 เป็น low season ของอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ที่มีวันหยุดยาวหลายวัน เทียบ YoY แม้จะเติบโตเล็กน้อย แต่ถือว่าดีกว่าอุตสาหกรรมผลิตรถของประเทศที่ชะลอตัว 5%YoY เนื่องจาก บริษัทมีโมเดลใหม่ที่ได้รับเพิ่มขึ้น 5 โมเดลนับจากต้นปี โดยมีโมเดลใหญ่ MITSUBISHI All New triton ซึ่งเป็น Global Modelและในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมามีโมเดลจากลูกค้า HONDA เพิ่มมา 1 รุ่น ขณะที่รายได้อื่นๆ เติบโต 30%YoY เป็น 188 ล้านบาท เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทร่วมที่ฟื้นตัว โดยส่วนแบ่งเงินปันผลเพิ่ม 25%YoY เป็น 127 ล้านบาท
- ประสิทธิภาพในการทำกำไรปรับลดลง โดย EBITDA Margin อยู่ที่ 19.2% ลดลงจาก 2Q65/66 ที่ 20.1% จากผลของ Product Mix และต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น
Our Take
- เราคาดผลประกอบการใน 2H66/67 มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น YoY โดยจะรับรู้รายได้จากโมเดลใหม่ของลูกค้า HONDA เต็มไตรมาส จากไตรมาสก่อนที่รับรู้เดือนเดียว และคาดบริษัทยังมีคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มเข้ามาอีกไม่ต่ำกว่า 2-3 โมเดล เราคงประมาณการกำไรปี 2566/67 ที่ 1,867 ล้านบาท +7%YoY ซึ่งเราประเมินผลประกอบการเติบโตดีกว่าอุตสาหกรรมที่คาดยอดผลิตรถยนต์ของอุตสาหกรรมในปีนี้ -1.8%YoY เป็น 1.85 ล้านคัน เนื่องจาก STANLY ได้รับคำสั่งซื้อเพิ่ม ราว 7-8 โมเดล สำหรับสินค้าหลอดไฟทั้งไฟหน้า-ไฟท้าย ทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล, รถมอเตอร์ไซค์ รวมถึงโมเดลใหม่ที่เป็นคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ
- เรามีมุมมองเป็นบวกต่อการมาของ EV ซึ่ง STANLY ไม่ถูก disrupt จากการเปลี่ยนจากรถสันดาปไปใช้ EV ขณะที่บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งในตลาดโคมไฟและหลอดไฟรถยนต์และจักรยานยนต์ จึงมีโอกาสได้ออร์เดอร์ค่อนข้างสูง ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ผลิต ทั้งกลุ่มลูกค้าเดิมญี่ปุ่น และค่ายจีนที่มาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย เราประเมินมูลค่าพื้นฐานแบบอนุรักษ์นิยมมากขึ้น โดยรวมความเสี่ยงมหภาค ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
- คงคำแนะนำ “ซื้อ” เราคาดผลประกอบการในปี 2566/67 (สิ้นสุด มี.ค.67) เติบโต 79YoY ถือว่าดีกว่าอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ที่คาดชะลอตัว ด้านสถานะการเงินแข็งแกร่งเป็น Net Cash ไม่มีภาระหนี้สิน และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตามปีนี้เราคาดว่าบริษัทจะกลับมาจ่ายปันผลปกติ เทียบปีก่อนที่บริษัทมีการจ่ายปันผลพิเศษ เนื่องจากเป็นการฉลองครบรอบ 40 ปี ของการก่อตั้งบริษัท เราคาดบันผลปีนี้ที่ 10.96 บาทคิดเป็น Dividend Yield 6% จากราคาปัจจุบัน ซึ่งถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี เราคงมูลค่าพื้นฐานที่ 212 บาท โดยอิง PER เฉลี่ย 5 ปี ที่ 8.7×
ปัจจัยเสี่ยง : 1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก 2) ประเด็นสงคราม อิสราเอล-ฮามาส ต่อการส่งออกรถยนต์ปัจจุบันถือว่าน้อย ประเทศไทยส่งออกรถยนต์และส่วนประกอบอุปกรณ์ไปอิสราเอลลัดส่วนราว 1% ของการส่งออกรวม แต่ปัจจัยเสี่ยง คือ กรณีสถานการณ์ลุกลามยืดเยื้อและขยายไปยังประเทศอื่นในตะวันออกกลางอาจกระทบมากขึ้น ประเทศไทยส่งออกไปยังตะวันออกกลางคิดเป็น 16% ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่อันดับ 3 ที่ไทยส่งออก