KS Daily View 1.11.2023 >>> รอผลประชุมเฟด และทิศทาง Bond Yield ใหม่ของสหรัฐฯใน 4Q23 คาด SET แกว่งตัวในกรอบ 1,375-1,390 จุด หุ้นแนะนำ AMATA, CPN

สรุปภาวะตลาดเมื่อวานนี้

ต่างประเทศ :ดัชนี DJIA +0.38%, S&P 500 +0.65%, NASDAQ +0.48%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ Real Estate (+2.04%), Financials (+1.09%), Industrials (+0.77%) ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่ Energy (+0.22%) เป็นต้น

ในประเทศ: SET Index -14.02 จุด หรือ -1.00% ปิดที่ 1,381.83 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ ACE (+5.56%), SABUY (+3.88%), TIPH (+2.26%), CK (+1.40%) เป็นต้น ส่วนที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ BYD (-11.26%), TRUE (-7.63%), AAV (-6.33%), ORI (-6.26%) เป็นต้น

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:

ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวขึ้นในกรอบ 1,375 – 1,390 จุด ในวันนี้ รอประเมินทิศทาง Bond yield ซึ่งจะเป็นตัวสะท้อน Fund flow ระดับโลก โดยตลาดรอดูตัวเลขการออกพันธบัตรใหม่ของสหรัฐฯใน 4Q23 (คาด US$114bn) และผลการประชุมเฟด (คาดคงดอกเบี้ยที่ 5.25-5.50%)

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1.) ค่าเงินเยนร่วงลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ (-1.6% เป็น 151.60 เยนต่อ USD) ทำจุดต่ำสุดในปีนี้ หลัง BOJ ไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นอย่างที่ตลาดกำลังคาดหวัง

2.) สำนักข่าวข่าวหุ้น รายงานว่าวันนี้นายกฯ จะเป็นประธานประชุมบอร์ดอีวี จ่อเคาะมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า 3.5 อุดหนุนกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และกระบะคันละ 50,000-100,000 บาท จากเดิม 70,000-150,000 บาท ในมาตรการชุดแรก (EV 3.0 ) และยกเลิกเงินสนับสนุนในกลุ่มรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ขณะที่อัตราส่วนของรถยนต์ที่ต้องผลิตภายในประเทศเพื่อชดเชยกับจำนวนรถยนต์ที่นำเข้าทั้งคัน ยังเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2-3 เท่า จากเดิมที่ 1-1.5 เท่า ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ยังคงต้องรอติดตามการประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง มองเป็นบวกกับกลุ่มนิคมฯ

3.) ครม.เศรษฐา เบรกขึ้นราคาน้ำตาลทราย 4 บาท/กก. กำหนดให้เป็นสินค้าควบคุม มองเป็นบวกกับกลุ่ม F&B แต่เป็นลบกับกลุ่มน้ำตาล

4.) สำนักข่าวข่าวหุ้น รายงานว่า ครม.เคาะลดภาษีเบนซินแก๊สโซฮอล์ทุกประเภท 1 บาทต่อลิตร ที่เหลือกองทุนน้ำมันแบกเอง 1.5 บาทต่อลิตร โดยเฉพาะแก๊ซโซฮอลล์ 91 เริ่ม 7 พ.ย. 66 นาน 3 เดือน ด้านนักท่องเที่ยวอินเดียและไต้หวันจะได้ไฟเขียวฟรีวีซ่า 10 พ.ย. 66-10 พ.ค. 67 รวม 6 เดือน เพิ่มรายได้เข้าประเทศอีก 5 หมื่นล้าน

Theme การลงทุนสัปดาห์นี้

ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,355 – 1,425 จุด ในสัปดาห์นี้ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1.) คืนวันพุธจะมีการเปิดเผยแผนออกพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯ รายไตรมาส โดยตลาดคาดว่ากระทรวงการคลังสหรัฐฯจะปรับเพิ่มขึ้นการออกพันธบัตรระยะยาวอายุมากกว่า 2 ปีเป็น US$114bn เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ US$103bn ในรอบเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา 2.) ผลการประชุมเฟด (คืนวันที่ 1 พ.ย.) ว่าจะเป็น การคงดอกเบี้ยต่อ หรือ ปรับขึ้น 25bps. 3.) ทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และค่าเงิน USD ซึ่งจะเป็นตัวสะท้อนทิศทาง Fund flow 4.) ทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศ ซึ่งมีโอกาสที่จะลดลงหากรัฐบาลปรับลดวงเงินโครงการดิจิตอลวอลเล็ต ทำให้อุปทานพันธบัตรในอนาคตลดลง 5.) สถานการณ์สงครามอิสราเอล-ฮามาส 6.) ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญได้แก่ การจ้างงานภาคเอกชน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน ดัชนี ISM/PMI ภาคการผลิตเดือน ต.ค ของสหรัฐฯ 6 และ 7.) การประกาศกำไร 3Q23 ของบริษัทจดทะเบียน (THCOM, FTREIT)

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

AMATA (ราคาพื้นฐาน 28.50 บาท) ราคาหุ้นปรับตัวลงกว่า -10% ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาสะท้อนความกังวลเรื่องยอดขายที่ดินอาจพลาดเป้าที่บริษัทตั้งไว้แล้ว โดยทำได้เพียง 1,204 ไร่ คิดเป็น 54% ของเป้าทั้งปีที่ 2,250 ไร่ แต่คาดจะเข้าเป้าที่ นวค. KS คาดที่ 1,500 ไร่ต่อปี ในปี 2023-24ฎ อย่างไรก็ตามเราประเมินว่ายอดขายที่ดินจะยังคงโตดีไปถึงปีหน้าจาก FDI ที่ยังไหลเข้าไทยต่อเนื่องบนปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และการเข้ามาตั้งฐานผลิตรถยนต์ BEV ในไทย โดยเช้านี้นายกจะมีประชุมกับคณะกรรมการ EV board เพื่อหารือเรื่องการให้สิทธิประโยชน์รอบใหม่เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนทางตรงเพิ่ม

CPN (ราคาพื้นฐาน 79 บาท) คาดกำไรปกติไตรมาส 3/2566 ที่สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 4.0 พันลบ. เพิ่มขึ้น 39% YoY และ 9% QoQ ธุรกิจหลักส่วนใหญ่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เรายังคงเชื่อว่า CPN จะสามารถทำสถิติกำไรสูงสุดใหม่ในปี 2566 ที่ 14,014 ลบ. (เติบโต 30.24% YoY) จากแรงหนุนของจำนวนผู้เดินศูนย์การค้าที่เพิ่มขึ้น โรงแรมใหม่ และการโอนกรรมสิทธิ์ backlog ที่อยู่อาศัย ราคาหุ้นไม่แพง ซื้อขายบน P/E ปี 2024 ที่ 17.6x คิดเป็น -2 SD ของ PER ล่วงหน้า 12 เดือนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันพุธติดตามตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ (ADP) เดือน ต.ค. ตลาดคาดที่ 65k เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 89k และตัวเลขดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯสำหรับเดือน ต.ค. ตลาดคาดทรงตัวเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 49 จุด ต่อด้วยตัวเลขงานเปิดใหม่ของสหรัฐฯ (JOLTS Job openings) เดือน ก.ย. ตลาดคาดที่ 9.2 ล้าน
    ตำแหน่ง เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 9.61 ล้านตำแหน่ง ปิดท้ายช่วงข้ามคืนรอติดตามผลการประชมุ FOMC ตลาดคาด Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.50%
  • วันพฤหัสบดีติดตาม ตัวเลขดัชนีภาคการผลิตของยุโรปสำหรับเดือน ต.ค. ตลาดคาดที่ 43.0 เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 43.4 จุด ต่อด้วยติดตามผลการประชุมธนาคารกลางของอังกฤษ (BOE) ตลาดคาดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25%
  • วันศุกร์ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ (nonfarm payrolls) สำหรับเดือน ต.ค.ตลาดคาดที่ 143k ตำแหน่ง เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 263k ตำแหน่ง และตัวเลขค่าจ้างแรงงานของสหรัฐฯ (Average hourly earnings) สำหรับเดือน ต.ค. ตลาดคาดเพิ่มขนึ้ 4.2% YoY ทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และปิดท้ายด้วยตัวเลขดัชนีภาคบริการของสหรัฐฯสำหรับเดือน ต.ค. ตลาดคาดที่ 53.6 เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 53.7 จุด
- Advertisement -