ดีแล้ว ดีอยู่ คาดดีต่อ / 1,390-1,415
มุมมองตลาดหุ้นวันนี้
- SET อิงทางขึ้นต่อ: ราคาน้ำมันดิบ WT เริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง ได้แรงหนุนจากการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐโดย Dollar Indexชะลอ ตัวแตะระดับ 105.65 จุด หลังทำจุดสูงสุดในวันก่อนหน้าที่ 106.98 จุด ตอบรับการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดที่ระดับ 5.25-5.50% และล่าสุดการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ BOE ที่ 5.25% โดยรวมช่วยลดแรงกดดันต่อการเก็งกำไรในตลาดน้ำมัน มองเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงานต้นน้ำ และคาดจะช่วยผลักดันดัชนีตลาดให้ปรับตัวขึ้นต่อ ด้านตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐ อย่างตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ออกมาที่ 217 พันราย สูงกว่าตลาดคาดที่ 210 พันราย และตัวเลข UnitLabor Cost ที่สะท้อนต้นทุนแรงงานรวมของภาคธุรกิจ ซึ่งออกมาติดลบเป็นไตรมาสแรกนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.ปี 64 ร่วมกันสะท้อนภาพการชะลอตัวของภาคแรงงานสหรัฐ ซึ่งค่าจ้างเป็นปัจจัยหนึ่งที่เฟดให้ความสำคัญ การชะลอตัวลงสั้นๆ ของตลาดแรงงานสหรัฐจะช่วยลดความกังวลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบการประชุมในวันที่ 14 ธ.ค.อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาต่อในคืนนี้ ทั้งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรตัวเลขอัตราการว่างงาน และตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมง หากออกมาในทิศทางชะลอตัวลงจะยิ่งส่งผลให้ 10-Year US Bond Yields ปรับตัวลงต่อ หลังจากล่าสุดที่ปรับลดลงอีก 6bps มาสู่ระดับ 4.66% ซึ่งมองเป็นแรงหนุนต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่วานนี้นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสุทธิในหุ้นไทยกว่า 1,207.4 ล้านบาท โดยซื้อสุทธิเป็นครั้งแรกในรอบ 4 วันทำการ ท่ามกลางค่าเงินบาทยังคงอิงทิศทางแข็งค่า ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 35.94 บาทต่อดอลลาร์ หนุน Fund flow ไหลเข้าต่อเนื่อง ทั้งนี้ยังต้องจับตาโครงการเงินดิจิทัล ลุ้นจะเห็นความคืบหน้าในสัปดาห์หน้า หลังคลังเผยนายกฯจะเข้าประชุมเป็นประธานเพื่อหาข้อสรุปในทุกประเด็น รวมถึงกลุ่มที่จะได้รับเงินหนุนค้าปลีกคึกคัก
- กลยุทธ์การลงทุน : 1) Bond Yields ชะลอตัว: KTC, TIDLOR, SAWAD, AEONTS, MTC, SINGER, HANA, KCE, DELTA 2) ท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง+Spending: AOT, CPN, CPALL 3) Selective : PTTEP, BYD, NEX, PROEN, CK
ปัจจัยบวก
- นายกญี่ปุ่นประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โดยบลูมเบิร์กรายงานว่ามาตรการในครั้งนี้จะมีมูลค่ากว่า 17 ล้านล้านเย็น ซึ่งจะครอบคลุมถึงการลดภาษีและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ผ่านการจัดทำงบประมาณพิเศษ
- กบน. เคาะลดราคาเบนซินทุกชนิดนาน 3 เดือนตามมติครม. ดีเดย์ 7 พ.ย.นี้ เป็นบวกต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศ
- คลังเผย เตรียมประชุมบอร์ดใหญ่โครงการเงินดิจิทัลหมื่นบาทภายในสัปดาห์หน้า โดยจะมีนายกฯร่วมประชุมด้วย ซึ่งจะมีการสรุปทุกเรื่อง รวมทั้งในเรื่องของเกณฑ์ที่จะกำหนดการแจกเงินว่าจะให้กลุ่มใดบ้าง
- ผู้อำนวยการ CAAT เผยจำนวนผู้โดยสารฟื้นตัวแล้ว 49% จากช่วง Pre-covid และคาดในกรณีที่ดีที่สุดจะฟื้นตัวไปสู่ระดับ Pre-Covid ในปี 2567
ปัจจัยลบ
- สถาบันคุ้มครองเงินฝากเผย ยอดเงินฝากคนไทยติดลบครั้งแรกในรอบ 10 ปี ขณะที่ 81 ล้านคน มีเงินในบัญชีต่ำกว่า 5 หมื่นบาทสะท้อนค่าครองชีพที่สูง และความกังวลุของประชาชนต่อภาวะเศรษฐกิจ จึงเน้นนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น
- ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ SCB เผยแนวโน้มสัดส่วนการเป็นเจ้าของที่อยู่อ้าศัยของคนไทยลดลง จากแรงกดดันหลายด้าน ทั้งราคาที่ปรับตัว สูงขึ้นหนี้ครัวเรือนสูง และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น โดยจำนวนบ้านในกทม.และปริมณฑลช่วงปี2557-2565 ขยายตัวเพิ่มเฉลี่ยเพียง 2.6% ต่อปี พร้อมแนะรัฐควรมีมาตรการส่งเสริมการครอบครองที่อยู่อาศัยมากขึ้น
PICKS OF THE DAY
CPALL BUY
- เป้าหมาย 59.00 / 60.00 แนวรับ 55.50 /56.00
- นโยบายรัฐยังหนุนหุ้นจับจ่ายใช้สอย: คาดได้ประโยชน์เชิง Sentiment จากนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวล่าสุด เช่น การฟรีวิซ่าให้นทท.อินเดียและไต้หวัน ร่วมกับนโยบายลดราคาน้ำมันเบนซินที่ช่วยคลายแรงกดดันด้านค่าครองชีพ ช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอย และมีลุ้นนโยบายเงินดิจิทัล โดยคาดนายกฯจะเรียกประชุมคณะ กรรมการพิจารณาเงินดิจิทัลชุดใหญ่ในสัปดาห์หน้า
- คาดกำไรงวด 2H66 จะเติบโตต่อ: โดยทางฝ่ายคาดทั้งรายได้และกำไรจะเติบโตขึ้นจากจำนวนสาขาที่มีมากขึ้น คาดสิ้นสุดงวด 2H66 อาจมีสาขาแตะ 700 สาขา ทำให้รายได้จากกลุ่มธุรกิจอาหาร และ Personal Care จะมีโอกาสเติบโตสอดคล้องกับการบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้น
DELTA BUY
- เป้าหมาย 87.00 / 90.00 แนวรับ 80.00
- เก็บก่อน เดี๋ยวตกรถ: ด้วยกำไร ไตรมาส 3 ที่ประกาศออกมาโตเกินตลาดคาด ทำให้เมื่อ fund flow ไหลกลับเข้ามาใน SET คงหนีไม่พ้นหุ้น DELTA ที่ไม่เคยทำให้ผู้ลงทุนผิดหวังในเรื่องของผลประกอบการ
- ปี 67 เติบโตต่อ: DELTA ตั้งเป้าปี 67 รายได้โตตัวเลข 2 หลัก รับอานิสงส์ยอดขายผลิตภัณฑ์ EV และระบบการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่คาดจะโตต่อเนื่อง และ ดาต้า เซ็นเตอร์ยังเติบโตได้อยู่ ซึ่งคาดกว่าจะทำทั้งรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีขึ้น จากกำลังผลิตที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้น จาก 4 สายการผลิตใหม่ของ EV ที่เข้ามาเพิ่มใน 3Q66 และอีก 2 สายการผลิตที่จะเข้ามาต้นปี 67