บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
LPN Development (LPN) Valuation ปัจจุบันแพงกว่ากลุ่ม
Action SELL (Maintain)
- TP upside (downside) -12.9%
- Close Nov 2, 2023 Price (THB) 3.98
- 12M Target (THB) 3.45
- Previous Target (THB) 3.82
What’s new?
- บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิ 3Q66 ที่ 104 ลบ. (+18.5% QoQ, -55.9% YoY) เต็บโต QoQ จากการโอนที่เพิ่มขึ้นของโครงการแนวสูงสร้างเสร็จใหม่ ขณะที่ YoY ลดลงจากการบั้นทึกรายได้พิเศษการขายอาคารสำนักงานเข้ามาใน 3Q65
- ปรับลดประมาณการกำไรปี 2566/67 ลงเป็น 434 ลบ. (-29.1% YoY) และ 612 ลบ. (+41.1% YoY) ตามล้ำดับ จากกวรระบายสินค้าเดิมชะลอตัวลง และยอดจองซื้อโครงการแนวราบที่เปิดตัวใหม่ช่วง 9M66 ทำได้ต่ำกว่าคาด
Our view
- แม้คาดกำไร 4Q66 จะเติบโต QoQ และ YoY จากการโอนโครงการที่เพิ่งสร้างเสร็จ และการจัดรายการกระตุ้นปลายปี แต่มีแรงกดดันจากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบโดยตรงกับกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ
- แนะนำ “ขาย” ราคาเหมาะสม 3.45 บาท/หุ้น โดยราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER67 ที่ 9.5x สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 6.6x
กำไรปกติ 3Q66 เติบโต QoQ และ YoY จากฐานต่ำ
บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิ 3Q66 ที่ 104 ลบ. (+18.5% QoQ, -55.9% YoY) ใกล้เคียงที่ตลาดคาด โดยเติบโต QoQ จากการโอนที่เพิ่มขึ้นของโครงการแนวสูงสร้างเสร็จใหม่ ได้แก่ Lumpini Condotown Ekachai 48 มูลค่า 2.3 พันลบ. (ยอดจองซื้อ 23%) และการโอนต่อเนื่องโครงการ Lumpini Township Rangsit-Klong 1 (FG) มูลค่า 2.3 พันลบ. (ยอดจองซื้อ 39%) ที่เริ่มโอนในช่วงต้นปี ขณะที่เทียบ YoY ลดลงอย่างมากจากฐานสูงที่มีกำไรพิเศษจากการขายอาคารสำนักงานบันทึกเข้ามาราว 155 ลบ. ใน 3Q65 อย่างไรก็ตาม หากหักรายการพิเศษนี้ออก กำไรปกติจะเติบโต 29.1% YoY ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 22.0% (+76 bps QoQ และ -48 bps YoY)
Presales 3Q66 ชะลอตัว QoQ และ YoY
บริษัทฯ รายงานยอด Presale 3Q66 ที่ 2.6 พันลบ. (-1.5% QoQ, -43.5% YoY) ชะลอตัวต่อเนื่อง แม้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้น 5.7 พันลบ. (+201.9% QoQ, +104.3% YoY) แสดงให้เห็นการตอบรับโครงการใหม่ที่ไม่ดีนัก รวมถึงมีปัจจัยกดดันอย่างดอกเบี้ยที่ขึ้นสูง ส่วนช่วง 4Q66 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัว 2โครงการใหม่ มูลค่า 2.0 พันลบ ซึ่งเรามองว่ายอด Presales 4Q66 จะทรงตัว QoQ และยังต้องติดตามว่าแผนเปิดตัวโครงการใหม่จะมีการเลื่อนหรือไม่ รวมถึงการตอบรับของโครงการใหม่เป็นไปตามคาดหรือไม่บริษัทฯ มี Backlog ณ สิ้น 3Q66 ทั้งสิ้น 2.8 พันลบ. แบ่งเป็นแนวสูง-แนวราบที่ 2.5 พันลบ. และ 300 ลบ. ตามลำดับ คาดจะรับรู้เป็นรายได้ในช่วงที่เหลือของปี 2566 ที่ 1.0 พันลบ. คิดเป็น Secured Revenue 91.7% ของประมาณการรายได้ปี 2566 ใหม่ของเราที่ 7.1 พันลบ.
ปรับลดประมาณการปี 2566/67 ลง 28.6% และ 2.2%
ผลประกอบการ 9M66 จะคิดเป็นเพียง 55.5% ของประมาณการกำไรทั้งปีเดิมของเรา เรามีการปรับสมมติฐาน ดังนี้ 1) ปรับรายได้การโอนลง จากการระบายสินค้าคงคลังเดิมของทั้งโครงการแนวราบและแนวสูงที่ชะลอตัวลง และยอดจองซื้อโครงการแนวราบที่เปิดตัวใหม่ช่วง 9M66 ทำได้ต่ำกว่าคาด โดยอยู่ที่เพียง 2-10% ของมูลค่าแต่ละโครงการ และ 2) ปรับอัตรากำไรขั้นต้นปี 2566 และ 2567 ลง 230 bps และ 90 bps เป็น 22.6% และ 24.0% ตามลำดับ สะท้อนต้นทุนของโครงการใหม่ที่ลดลง ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 2566 และ 2567 ลดลง 28.6% และ 2.2% เป็น 434 ลบ. (-29.1% YoY) และ 612 ลบ. (+41.1% YoY) ตามลำดับ
คงคำแนะนำ “ขาย” ราคาเหมาะสม 3.45 บาท/หุ้น
จากการปรับประมาณการข้างต้น เราประเมินราคาเป้าหมายใหม่ และ Rollover ไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 3.45 บาท/หุ้น (PER ที่ 8.3x เทียบเท่า -0.75SD ของค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลัง 5 ปี และรวม ESG Premium 2%) และคงคำแนะนำ “ขาย” แม้ผลประกอบการ 4Q66 มีแนวโน้มเติบโตทั้ง QoQ และ YoY จากการโอนต่อเนื่องโครงการแนวสูงที่เพิ่งเริ่มโอนใน 3Q66 และการจัดรายการกระตุ้นการขายการโอนส่งมอบในช่วงปลายปี อย่างไรก็ดี เรามองว่ายังมีความท้าทายจากดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PER67 ที่ 9.5x ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 6.6x อย่างมีนัยสำคัญ จึงแนะนำให้สลับการลงทุนไปยังหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการการเติบโตเด่น หรือให้ผลตอบแทนจ่ายเงิน ปันผลในระดับที่สูงกว่า เช่น AP, ASW และ BRI เป็นต้น