บล.พาย:

FINANCE: กำลังฟื้น (NEUTRAL)

TOP PICK SAWAD, TIDLOR

แม้เราจะกังวลเรื่องคุณภาพสินเชื่อ แต่ก็คาดว่ากลุ่มบริษัทบริการทางการเงินเพื่อผู้บริโภคที่เราวิเคราะห์อยู่จะมีกำไรสุทธิที่โตดีขึ้นในไตรมาส 3/23 โดยคาดถึงกำไรสุทธิโดยรวมในไตรมาส 3/23 ที่ 3.6 พันล้านบาท (+10.2% YoY, +10.9% QoQ) เพราะรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ที่สูงขึ้น ซึ่งไปหักลบกับการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่สูงขึ้นได้ ประเมินว่า SAWAD จะมีกำไรสุทธิที่โตดีกว่า MTC และ TIDLOR ทั้งในไตรมาส 3/23 และงวด 9 เดือน แม้หนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จะชะลอลง เพราะเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น แต่ NPL อาจยังไม่พ้นยอดสูง จึงอาจมีการตั้งสำรอหงนี้ฯ สูงต่อไปในครึ่งหลังปี 2023 นอกจากนี้ ด้วยการนำ Fast Money กลับเข้ามาก็จะทำให้ SAWAD มีกำไรสุทธิที่โตมากสุดระดับ 16.1% ในปี 2023 สูงกว่าของ TIDLOR ที่ +6.6% และ MTC n -5.5% ทั้งนี้ เราคาดว่ากลุ่มโดยรวมจะโตมั่นคงมากขึ้นในปี 2024 แม้อัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) จะหดตัวจากสภาวะดอกเบี้ยสูง และความขัดแย้งระดับภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ เรามีมุมมองเป็น “กลาง” ต่อกลุ่มโดยรวม ขณะที่เลือก SAWAD และ TIDLOR เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้

กำไรโตแข็งแกร่งในไตรมาส 3/23 แม้ NPL จะสูงขึ้น

  • เราคาดว่ากลุ่มบริษัทบริการทางการเงินเพื่อผู้บริโภคที่เราวิเคราะห์อยู่ (MTC, SAWAD, และ TIDLOR) จะมีกำไรสุทธิที่ 3.6 พันล้านบาท (+10.2% YoY, +10.9% QoQ) ในไตรมาส 3/23 สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส NII ที่แข็งแกร่ง เป็นผลจากสินเชื่อที่ขยายตัวและค่าคอมมิชชั่นประกันที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโต YoY และ QoQ ของกลุ่ม โดยเราคาดว่าทั้ง 3 บริษัทจะมีกำไรที่โตขึ้น YOY และ QoQ แต่คาดว่า SAWAD จะมีกำไรสุทธิที่โตมากสุดที่ 23.1% YoY และ 27.3% QoQ
  • ถึงจะคาดว่ากำไรจะโตแข็งแกร่งในไตรมาส 3/23 แต่กำไรสุทธิโดยรวมสำหรับงวด 9 เดือนอาจโตเล็กน้อย 0.8% YoY เพราะกำไร สุทธิที่ลดลงของ MTC ฉุดจากการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับ NPLs ใหม่และการตัดบัญชี NPL ที่เพิ่มเติม
  • กลุ่มบริษัทบริการทางการเงินเพื่อผู้บริโภคมีเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่รัดกุม เพราะลูกค้าส่วนใหญ่คือกลุ่มเจ้าของกิจการขนาดเล็กและผู้มีรายได้ตำที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง แม้ NPLs จะปรับเพิ่มในอัตราที่ชะลอลง แต่ก็ยังต้องคุมคุณภาพสินเชื่อกันอย่างใกล้ชิดต่อไป เราคาดว่าพอร์ตสินเชื่อในไตรมาส 3/23 จะทรงตัวขึ้น NPL ratio ของ MTC SAWAD และ TIDLOR ยังต่ำกว่าตัวเลขแนวทางที่ให้ไว้ ด้วยค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่ยังมากพอ ด้านค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญของกลุ่มยังปรับสูงขึ้นเพื่อรับมือกับ NPLs ใหม่ รวมถึงขาดทุนจากการขาย NPL มากขึ้น และการตัดบัญชี NPL เพิ่มเติม

แนวโน้มการเติบโตที่มั่นคงมากขึ้นในปี 2024

  • SAWAD จะมีกำไรสุทธิที่โตสูงกว่าคู่แข่ง คาดว่าจะโต 16% ในปี 2023 (2022: -5.2%) เทียบกับ TIDLOR ที่โต 6.6 (2022: +14.9%)และ MTC ที่หดตัวลง 5.5% ในปี 2023 หลังจากโตไปเล็กน้อย 3% ในปี 2022
  • ขณะที่คาดว่าแนวโน้มการเติบโตจะมั่นคงมากขึ้นในปี 2024 จากสินเชื่อที่โตต่อเนื่องและโอกาสที่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญจะลดลงแม้ NIM จะเผชิญแรงกดดันก็ตาม ทั้งนี้ MTC จะกลับมาโต 23.5% ดีกว่า TIDLOR ที่ 21.7% และ SAWAD ที่ 18.6% มุมมองเป็น “กลาง” ต่อกลุ่ม ขณะที่เลือก SAWAD และ TIDLOR เป็นหุ้นเด่น
  • เรามีมุมมองเป็น “กลาง” ต่อกลุ่มบริษัทบริการทางการเงินเพื่อผู้บริโภค แม้คาดว่ากำไรสุทธิจะโตอย่างมั่นคงมากขึ้นในปี 2024 แต่ NIM จะหดตัวต่อเนื่องเพราะต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงและคุณภาพสินเชื่อที่เปราะบาง
  • เราชอบ TIDLOR (ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 30.00 บาท) เพราะงบดุลที่ยืดหยุ่นดีและมีมูลค่าพื้นฐานน่าดึงดูด ขณะที่ชอบ SAWAD (“ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 59.00 บาท) เพราะกำไรโตแข็งแกร่ง อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูง ส่วน MTC (“ถือ” มูลค่าพื้นฐาน 40.00 บาท) เรามองว่ามีความน่าถึงดูดน้อยกว่า เพราะกำไรที่ฟื้นตัวช้า NPL ratio ที่สูงขึ้น และมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี แม้ MTC จะมีปัจจัยน่ากังวลดังกล่าวแต่ก็เทรดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และมีโอกาสกลับมาโตในปี 2024

แนวโน้มการเติบโตด้านกำไรสุทธิที่ยืดหยุ่นดีในไตรมาส 3/23 หนุนจาก SAWAD และ TIDLOR

  • เราคาดว่าบริษัทบริการทางการเงินเพื่อผู้บริโภค 3 รายที่วิเคราะห์อยู่ (MTC SAWAD และ TIDLOR) จะมีกำไรสุทธิรวมกันที่ 3.6 พันล้านบาท (+10.2% YoY, +10.9% QoQ) ในไตรมาส 3/23 ปัจจัยบวกสำคัญต่อการเติบโตคือ NIl ที่ดีจากการขยายตัวของ สินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น หนุนจากค่าคอมมิชชั่นประกัน โดย SAWAD จะมีกำไรสุทธิที่โตเด่นสุดเพราะคาดว่าจะโต23.1% YoY และ 27.3% QoQ หนุนจากสินเชื่อเช่าซื้อจักรยานยนต์ใหม่จาก ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล 1969 (SCAP) ที่โตต่อเนื่อง และการเติบโตทางอ้อมหลังเริ่มน้ำ Fast Money (FM) กลับเข้ามาเต็มรูปแบบในไตรมาส 3/23
  • ขณะที่คดว่ากำไรสุทธิงวด 9 เดือนจะโตเล็กน้อย 0.8% YoY เป็น 1.01 หมื่นล้านบาท เพราะมีการตั้งสำรองหนี้ฯ สูง และค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน (OPEX) ที่สูงขึ้น ซึ่งไปหักลบกับ NIl คาดว่า SAWAD จะมีกำไรงวด 9 เดือนที่โตสูงสุดที่ 16.6%
  • การเติบโตของสินเชื่อโดยรวมยังแข็งแกร่งต่อเนื่องที่ 5.5% QoQ หรือ 25.8% YTD สำหรับงวด 9 เดือน ซึ่ง SAWAD จะโดดเด่น สุดในแง่นี้ด้วยคาดการณ์ว่าจะโต 7.1% QoQ ในไตรมาส 3/23
  • หนี้ครัวเรือนระดับสูงและเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ทำให้กลุ่มเจ้าของกิจการขนาดเล็กและผู้บริโภคประสบปัญหาในการชำระหนี้ บีบให้กลุ่มบริษัทบริการทางการเงินเพื่อผู้บริโภคต้องตั้งสำรองหนี้ฯ ที่สูงต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทมีค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อ NPL ใหม่ที่เพียงพอ และต้องเตรียมขายและตัดบัญชี NPL เพิ่มเติมอีกด้วย
  • คาดว่า NPL ratio ของ MTC จะแตะยอดสูงที่ 3.4% ในไตรมาส 3/23 เทียบ 2.8% สำหรับ SAWAD และ 1.6% สำหรับ TIDLOR ด้วยเหตุนี้จึงคาดว่าค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญของ MTC จะยังอยู่ในระดับที่และปรับเพิ่มเป็น 337 bps ในไตรมาส 3/23 เทียบกับ 145 bps สำหรับ SAWAD และ 320 bps สำหรับ TIDLOR
  • ทั้งนี้ด้วยการที่ TIDLOR คุม NPL อย่างรัดกุม จึงทำให้อัตราส่วนการตั้งสำรองหนี้ฯ ของบริษัทยังอยู่ในระดับสูงที่ 266% ในไตรมาส 3/23 เทียบกับ 105.1% สำหรับ MTC และ 55.9% สำหรับ SAWAD
  • ทั้ง 3 บริษัทต่างมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะเอื้อให้มีสภาพคล่องมากขึ้นในยามจำเป็น โดย TIDLOR มีอัตราส่วนหนี้สินต่อเงินทุน (D/E ratio) ที่ 2.4x ต่ำกว่าของ MTC ที่ 3.7x และ SAWAD ที่ 2.8x

MTC (“ถือ” มูลค่าพื้นฐาน 40.00 บาท): การตั้งสำรองหนี้ฯ สูงขึ้นฉุดศักยภาพการทำกำไรลง

  • เราคาดว่ากำไรสุทธิของ MTC จะอยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท (+0.3% YoY, +0.7% QoQ) แม้ NII จะสูงขึ้นจากการขยายตัวของสินเชื่อ แต่ที่โตเล็กน้อย YoY และ QoQ เพราะถูกหักลบจากการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่สูงขึ้น เนื่องจากบริษัทจำเป็นต้องตั้งสำรองหนี้ฯ สูงขึ้นเพื่อรับมือกับการตัดบัญชี NPL เพิ่มเติม และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้งบดุล ขณะที่คาดว่ากำไรสุทธิงวด 9 เดือนจะลดลง 12.2% YoY เป็น 3.5 พันล้านบาท เพราะการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่เพิ่มขึ้นสูง ซึ่งไปห้กลบกับ NII ที่แข็งแกร่ง
  • MTC ปล่อยสินเชื่อไร้หลักประกันและสินเชื่อเช่าซื้ออย่างรัดกุมเพื่อป้องกันการก่อตัวของ NPL ใหม่ในกลุ่มสินเชื่อนี้ แต่สินเชื่อก็ยังโตต่อเนื่องได้ 4.6% QoQ หนุนจากสินเชื่อทะเบียนรถ ส่วนสินเชื่องวด 9 เดือนก็โตดีที่ 15.2% YTD ทั้งนี้ ด้วยการขยายสาขาที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ จึงมองว่าประมาณการการเติบโตด้านสินเชื่อของเราสำหรับปี 2023 ที่ 20.7% จะเกิดขึ้นจริงได้
  • NIM ค่อนข้างทรงตัว QoQ ที่ 15.6% ในไตรมาส 3/23 อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (CIR) จะลดลง QoQ เป็น 46.7% เพราะ MTC ชะลอการเปิดสาขาใหม่ในครึ่งหลังปี 2023 หลังจากมีเครือข่ายแตะ 7,260 สาขาในไตรมาส 2/23 ซึ่งสูงกว่าเป้าสิ้นปี 2023 ที่ 7,200 สาขาแล้ว
  • NPL ratio ค่อนข้างทรงตัว QoQ ที่ 3.4% ในไตรมาส 3/23 ต่ำกว่าเป้าหมายของผู้บริหารที่ <3.5% ภายในสิ้นปี 2023 เพราะ MTC ยังเน้นการบริหารจัดการคุณภาพสินเชื่อมากกว่าการเร่งปล่อยสินเชื่อ เพราะขยายสินเชื่อไปแล้วประมาณ 29%-31% YoY ในปี 2021-22 เราคาดว่าสินเชื่อของ MTC จะโต 20.7%/19.2% ในปี 2023-24 ตามลำดับ ด้วยอัตราส่วนการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่ค่อนข้างทรงตัว QoQ ในระดับ 105.4%

SAWAD (“ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 59.00 บาท) โตแข็งแกร่งจากการรวม Fast Money กลับเข้ามา

  • เราคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท (+23.1% YoY, +27.3% QoQ) ที่โตดี YoY และ QoQ เป็นเพราะ NII ที่สูงขึ้นจากการขยายตัวของสินเชื่อและ NIM ที่สูงขึ้น SAWAD เริ่มนำ Fast Money (FM) กลับเข้ามาในไตรมาส 3/23 หลังรวมงบดุลของ FM เข้ามาในเดือน มิ.ย. 2023 ทั้งนี้ SAWAD ซื้อหุ้น FM คืนเป็นจำนวน 4.9 ล้านหุ้น คิดเป็น 49% ของทุนจดทะเบียนของ FM โดยซื้อคืนจากธนาคารออมสินในเดือน มิ.ย. นอกจากนี้ การตั้งสำรองหนี้ฯ จะกลับสูงระดับปกติที่ราว 349 ล้านบาท หลังจากตั้งสำรองหนี้ฯ พิเศษไปเมื่อไตรมาส 2/23 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้งบดุลของตนเองไปแล้ว
  • คาดกำไรสุทธิงวด 9 เดือนจะโต 16.6% YoY เพราะ NII ที่สูงขึ้น ซึ่งไปชดเชยผลกระทบจากการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่สูงขึ้น
  • การเติบโตของสินเชื่อที่โตต่อเนื่อง 7.1% QoQ หนุนจากสินเชื่อเช่าซื้อจักรยานยนต์จาก SCAP และสินเชื่อทะเบียนรถ ทั้งนี้ หลังจากรวมสินเชื่อของ FM กลับเข้ามาในไตรมาส 2/23 ก็คาดว่าจะทำให้สินเชื่อของ SAWAD ในงวด 9 เดือนโตแข็งแกร่งที่ 65.5% YTD
  • NIM จะปรับเพิ่ม QoQ เป็น 15.3% ในไตรมาส 3/23 หลังจากมีฐานต่ำกว่าปกติที่ 14.1% ในไตรมาส 2/23 เพราะบริษัทเริ่มทยอยรวมรายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อของ FM กลับเข้ามา
  • ด้วยกลยุทธ์เร่งการเติบโตของสินเชื่อระดับสูง จึงคาดว่า NPL ratio จะโตแตะ 2.8% ในไตรมาส 3/23 ส่วนหนึ่งมาจาก NPL กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อจักรยานยนต์ ขณะที่อัตราส่วนการตั้งสำรองหนี้ฯ จะลดลงเล็กน้อยเป็น 58.6% ซึ่งเพียงพอต่อพอร์ตในปัจจุบันของบริษัท

TIDLOR (“ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 30.00 บาท): กลับมาโต

  • เราคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 960 ล้านบาท (+6.6% YoY, +3.6% QoQ) แม้การตั้งสำรองหนี้ฯ จะสูงแต่ก็โตได้ YoY และ QoQ เพราะแรงหนุนจาก NII ที่สูงขึ้น อานิสงส์จากการเติบโตของสินเชื่อและค่าธรรมเนียมประกันที่สูงขึ้น ขณะที่คาดว่ากำไรสุทธิงวด 9 เดือนจะโต 0.7% YoY รายได้การดำเนินงานที่แข็งแกร่งจะถูกหักลบจากการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่พุ่งขึ้น และ OPEX ที่สูงขึ้นจากการขยายสาขา
  • การเติบโตของสินเชื่อจะโตต่อเนื่อง 5.1% QoQ ทำให้งวด 9 เดือนโต 12.9% YTD หนุนจากสินเชื่อทะเบียนรถเป็นหลัก
  • NIM ลดลงเล็กน้อย QoQ เป็น 15.5% ในไตรมาส 3/23 เพราะต้นทุนดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มในอัตราที่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนสินเชื่อ ด้าน CIR จะปรับเพิ่ม QoQ เป็น 55.5% เพราะ TIDLOR จะกลับมาขยายสาขาต่อในครึ่งหลังปี 2023 หลังจากหยุดไปในครึ่งแรกปี 2023
  • TIDLOR เน้นการคุมคุณภาพสินเชื่อและตั้งสำรองหนี้ฯ อย่างรัดกุม บริษัทมี NPL ratio ค่อนข้างต่อที่ 1.6% ในไตรมาส 3/23 ด้วยอัตราการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่ยังสูงระดับ 254.2% เพื่อเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอน
- Advertisement -