SAF โชว์ผลงานไตรมาส 3 เทิร์นอะราวด์ กลับมาทำกำไรสุทธิ 0.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 154% QoQ เตรียมเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ ดันยอดขายโค้งสุดท้าย รับการผลิตในภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัว
‘บมจ. เอส.เอ.เอฟ. สเปเชียล สตีล หรือ SAF’ ผู้นำธุรกิจเหล็กกล้าเกรดพิเศษคุณภาพระดับโลกและการให้บริการชุบแข็งสุญญากาศ โชว์ผลงานไตรมาส 3/2566 เทิร์นอะราวด์ ทำรายได้รวม 43.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.6% QoQ และมีกำไรสุทธิ 0.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 154% QoQ จากที่ขาดทุนในไตรมาส 2/2566 รับการผลิตในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ฟื้นตัวตามคาด และยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมช่วยหนุน พร้อมเร่งทำตลาดไตรมาสสุดท้ายปีนี้ เตรียมเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่และเร่งขยายฐานลูกค้ากลุ่มอลูมิเนียมเจาะลูกค้าภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอากาศยาน
ดร.พิศิษฐ์ อริยเดชวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส.เอ.เอฟ. สเปเชียล สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ SAF ผู้นำธุรกิจเหล็กกล้าเกรดพิเศษคุณภาพระดับโลกและการให้บริการชุบแข็งสุญญากาศ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 (กรกฎาคม-กันยายน) ทำรายได้รวม 43.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ และมีกำไรสุทธิ 0.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 154% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ที่ผลการดำเนินงานขาดทุน หลังประสบความสำเร็จจากการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพสูง เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าที่เพิ่มขึ้นตามสัญญาณการฟื้นตัวของภาคการผลิตของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ประกอบกับผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมที่เริ่มทำตลาดเพื่อเจาะกลุ่มภาคอุตสาหกรรมอาหารและบรรจุภัณฑ์ ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ควบคู่กับการบริหารจัดการด้านต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
สัญญาณการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ SAF จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายเหล็กกล้าเกรดพิเศษคุณภาพสูงจากบริษัทระดับโลก อาทิ DÖRRENBERG EDELSTAHL GmbH และ WILHELM OBERSTE-BEULMANN GmbH จึงตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างครบวงจร
ส่วนทิศทางการดำเนินธุรกิจในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯ จะมุ่งรักษาอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายในงานมหกรรมแสดงสินค้า METALEX 2023 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 22-25 พฤศจิกายน นี้ ณ ไบเทค บางนา พร้อมกันนี้ SAF จะมุ่งขยายฐานลูกค้าผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมไปยังกลุ่มลูกค้าภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอากาศยานเพิ่มเติม ตลอดจนได้เริ่มให้บริการชุบจากระบบเตาชุบไนโตรดิ้ง (Nitriding) แก่ลูกค้าผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แล้ว หลังจากได้ติดตั้งและทดสอบระบบเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ โครงการก่อสร้างคลังสินค้าและโรงงานแห่งใหม่เพื่อเพิ่มความจุคลังสินค้าเป็น 4,000 ตันนั้น คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้ โดยบริษัทฯ ได้วางแผนสต๊อกสินค้าและจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาเพิ่มเติม เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2567 สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่บริษัทฯ ต่อไป