บล.ทิสโก้:

STEC : ดูยังคงตกต่ำสำหรับผลประกอบการใน 3Q

เราคงมุมมองแนวโน้มกำไรของ STEC อย่างระมัดระวัง

เราคาดว่าผลประกอบการใน 3Q จะดีขึ้น QoQ เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นใน 2Q อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าผลประกอบการใน 30 ที่จริงแล้วอาจอ่อนตัวลง QoQ เนื่องจากไม่มีรายได้จากเงินปันผล นอกจากนี้ อัตราการขยายอัตรากำไรขั้นต้นดูเหมือนว่าจะต่ำกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้านี้ ดังนั้น เราจึงไม่คาดว่าจะเห็นกำไรชัดเจนจนกว่าจะถึงปี 2024F แม้ว่าหุ้นจะมี upside ถึง 24% แต่เรายังคงคำแนะนำ “ถือ” เนื่องจากเรายังคงกังวลเกี่ยวกับการปรับอัตรากำไรขั้นต้นที่อาจเกิดขึ้นที่โครงการหนองบอน และความล่าช้าเพิ่มเติมสำหรับโครงการอู่ตะเภา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ในปีหน้า

คาดว่ากำไรสำหรับ 3Q จะลดลงทั้ง YoY และ QoQ

เราประเมินกำไรสุทธิใน 3Q ของ STEC อยู่ที่ 117 ล้านบาท ลดลง 15.5% YoY และ 23.9% QoQ รายได้จากการก่อสร้างคาดว่าจะอยู่ที่ 7.66 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% YoY และ 6% QoQ เราประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นที่ 4.7% เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ จาก 4.4%และ 2.1% โดยคาดว่าไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นใน 20 ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (S&A) น่าจะลดลง 9.6% QoQ (แต่เพิ่มขึ้น 6% YoY) เนื่องจากไม่มีค่าธรรมเนียมที่ปรึกษาเกิดขึ้นอีกใน 20 เราประเมินรายได้จากหุ้นทุนที่ -40 ล้านบาท เทียบกับกำไร 11 ล้านบาท และ 36 ล้านบาทใน 2Q23 และ 3Q22 เนื่องจากส่วนแบ่งขาดทุนที่คาดไว้จากรถไฟฟ้าสายสีเหลือง อย่างไรก็ตาม ประมาณการกำไรของเราลดลง YoY สาเหตุหลักมาจากส่วนแบ่งขาดทุนดังกล่าวข้างต้น ในขณะที่กำไรที่คาดการณ์ลดลง QoQ เกิดจากการขาดเงินปันผลจาก GULF

คาดว่ากำไรจะดีขึ้นในปี 2024F

เราคาดว่ากำไร 4Q23F จะทรงตัว QoQ เนื่องจากทั้งรายได้จากการก่อสร้างและอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะใกล้เคียงกับระดับ 3Q อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเสี่ยงที่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากโครงการหนองบอน เนื่องจากล่าช้ามาเป็นเวลานาน และยังไม่มีการปรับอัตรากำไรขั้นต้น กำไรมีแนวโน้มดีขึ้นในปี 2024 เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากการเร่งก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง และทางคู่เด่นชัย-เชียงราย ซึ่งน่าจะให้อัตรากำไรที่ดี เราคาดการณ์ว่าโครงการอู่ตะเภา (2.7 หมื่นล้านบาท) จะเริ่มก่อสร้างตามกำหนดใน 1Q24 ความล่าช้าใดๆ อาจส่งผลเสียต่อประมาณการรายได้ของเรา

คงคำแนะนำ “ถือ” โดยปรับมูลค่าที่เหมาะสมอยู่ที่ 10.70 บาท

เราปรับลดประมาณการปี 2023-25F ลง 19-22% เพื่อสะท้อนถึงประมาณการ 3Q ใหม่ของเรา นอกจากนี้ เรายังยกยอดเบ้าหมายของเราไปที่ PER เป้าหมายที่ 25 เท่า (ค่าเฉลี่ย 4 ปีในอดีต) โดยอิงจากกำไรปี 2024F แทนที่จะเป็นปี 2023F; ดังนั้น มูลค่าที่เหมาะสมของเราจึงปรับจาก 10.80 บาท เป็น 10.70 บาท แม้ว่า upside จะอยู่ที่ 24% แต่เรายังคงคำแนะนำ “ถือ” ไว้สำหรับความเสี่ยงด้านลบที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับอัตรากำไรขั้นต้นของโครงการหนองบอน

ความเสี่ยงหลักคือ การไม่มีโครงการใหม่ ต้นทุนเกินจากความล่าช้าในการก่อสร้าง ต้นทุนวัสดุ และค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น

- Advertisement -