SGP สุดปัง!! บุ๊กกำไร Q3 อยู่ที่ 1,230 ลบ. โตทะยานกว่า 2,372% แนวโน้ม Q4 สดใส เข้าช่วงไฮซีซั่นธุรกิจหนุนยอดขาย 4 ล้านตันตามเป้า
“บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ หรือ SGP” โชว์ผลงานงวดไตรมาส 3/66 บุ๊กกำไรอยู่ที่ 1,230 ลบ. โตทะยานกว่า 2,372% ส่วนแนวโน้มผลงานโค้งสุดท้ายของปีสดใส รับไฮซีซั่นธุรกิจ หนุนงบ Q4/66 ฟอร์มสวย พร้อมยืนเป้ายอดขายปีนี้ปริมาณขายแตะ 4 ล้านตัน รับออเดอร์ในประเทศ-ต่างประเทศพุ่ง หลังดีมานด์แอลพีจีเพิ่มขึ้น
นางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP เปิดเผยว่าผลประกอบการในงวดไตรมาส 3 ปี 2566 ของบริษัทฯและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่จำนวนเงิน 1,230.49 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 54.15 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 1,284.64 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2,372.37
โดยมีรายได้จากการขาย จากการขนส่งและการให้บริการ 22,884.38 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2565 เป็นจำนวนเงิน 24,487.14 ล้านบาท รายได้ลดลง 1,602.76 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.55 สาเหตุหลักมาจากราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลก (CP Saudi Aramco) เฉลี่ยของไตรมาส 3 ปีนี้ ต่ำกว่าปีก่อน โดยราคาก๊าซ LPG เฉลี่ยสำหรับงวดสามเดือนของไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 และงวดเดียวกันของปี 2565 มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 469 เหรียญสหรัฐต่อเมตริกตัน และ 677 เหรียญสหรัฐต่อเมตริกตัน ตามลำดับ
สำหรับแนวโน้มผลงานในไตรมาส 4/2566 ซึ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของปีคาดว่ามีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ประกอบกับราคาก๊าซยังคงเป็นบวกต่อเนื่องมายังไตรมาส 4 ส่งผลให้ยอดขายปรับตัวดีขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะยอดขายก๊าซ LPG ในประเทศจีนในช่วง 9 เดือน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเติบโตขึ้นกว่า 23.6% สำหรับช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มียอดขายอยู่ราว 2.76 ล้านตัน เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.3%
โดยปี 2566 นี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ประมาณ 1.1 แสนล้านบาท เติบโตประมาณ 12% จากปีก่อน และมียอดขายประมาณ 4.05 ล้านตัน เติบโตประมาณ 12.40% จากปีก่อน แบ่งเป็นในประเทศ 0.86 ล้านตัน เติบโต 7%, Offshore Trading 1.60 ล้านตัน เติบโต 12.90%, ประเทศจีน 1.30 ล้านตัน เติบโต 16.20%, ประเทศเวียดนาม 0.11 ล้านตัน เติบโต 8.10%, ประเทศสิงคโปร์ 18,500 ตัน เติบโต 8.10% และประเทศมาเลเซีย 0.16 ล้านตัน เติบโต 10.40% เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ได้คลี่คลายไปแล้ว ส่งผลให้แต่ละประเทศมีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในอย่างเต็มที่ส่งผลให้มีความต้องการใช้พลังงานมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศจีนส่งผลให้ยอดขายของบริษัทในประเทศจีนปรับตัวสูงขึ้นมากเช่นกัน