TPCH สุดสตรอง! โชว์กำไร 9 เดือนปี 66 พุ่ง 31.1% รับรู้รายได้โรงไฟฟ้าชีวมวล–ขยะ ขนาด 122.30 MW ลุยขยายพลังงานทดแทนต่างประเทศ ดันกำลังผลิตแตะ 500 MW ปี 69
บมจ.ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง (TPCH) ปิดงบงวด 9 เดือนปี 66 โชว์กำไรสุทธิ 182.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.1% จากงวดเดียวกันปีก่อน ผลจากรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล-ขยะ 13 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตรวม 122.30 เมกะวัตต์ ฟากบิ๊กบอส “กนกทิพย์ จันทร์พลังศรี” ระบุ ล่าสุด โครงการโรงไฟฟ้าประเภทเชื้อเพลิงขยะ เตรียมเซ็น PPA เพิ่มอีก 1 โครงการ พร้อมเดินหน้าลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทน ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์-พลังงานลมในสปป.ลาว-กัมพูชา-เวียดนาม หวังดันกำลังผลิตรวมเป็น 500 เมกะวัตต์ ภายในปี 69
นางกนกทิพย์ จันทร์พลังศรี ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TPCH) ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนของปี 2566 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566) มีกำไรสุทธิ 182.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.1% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 139.52ล้านบาท และมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,229.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวมเท่ากับ 1,959.66 ล้านบาท
ขณะที่ งวดไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 783.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวมเท่ากับ 720.54 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 42.78 ล้านบาท
ปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการโรงไฟฟ้าประเภทเชื้อเพลิงชีวมวลและประเภทเชื้อเพลิงขยะ ครบ 13 แห่ง มีกำลังการผลิตรวม 122.30 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าประเภทเชื้อเพลิงชีวมวล CRB, MWE, MGP, TSG, PGP, SGP, PTG, TPCH 5, TPCH 1 TPCH 2, PBB และ PBM รวมทั้งโครงการโรงไฟฟ้าประเภทเชื้อเพลิงขยะ สยาม พาวเวอร์ (SP)
“TPCH ยังสามารถทำรายได้และกำไรได้ดี เห็นได้จากผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนของปีนี้ ที่ออกมาสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้ามีความเสถียรมากขึ้น รวมทั้งการบริหารต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ จึงสามารถสนับสนุนผลงานให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้” นางกนกทิพย์ กล่าว
นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH กล่าวว่า สำหรับแผนการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนในประเทศ ล่าสุด โครงการโรงไฟฟ้าประเภทเชื้อเพลิงขยะ ภายใต้บริษัท สยาม พาวเวอร์ จำกัด โดยขณะนี้ อยู่ในช่วงของการเตรียมเซ็นสัญญา PPA เพิ่มอีก 1 โครงการ
ขณะเดียวกัน แผนการลงทุนในต่างประเทศ บริษัทฯ กำลังศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนประเภท พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ทั้งในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เนื่องจาก TPCH ได้เข้าร่วมลงทุนกับ บริษัท แม่โขง พาวเวอร์ จํากัด (MKP) ในสัดส่วนร้อยละ 40 ที่ประกอบธุรกิจผลิต และจําหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ใน สปป.ลาว และ MKP ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจำนวน 100 เมกะวัตต์ กับรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EDL) เรียบร้อยแล้ว โดยมีระยะเวลา 25 ปีนับจากวันที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date : COD) และได้เซ็นสัญญากับผู้รับเหมาก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว และได้เริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าแล้ว คาดว่า จะสามารถ COD เฟสแรกได้ภายในปี 2567 รวมทั้ง มีแผนที่จะส่งไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ไปจำหน่ายในประเทศเวียดนามอีกหนึ่งโครงการ
สำหรับการลงทุนในประเทศกัมพูชา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาต ทั้งโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม โดยตั้งเป้ากำลังการผลิตรวมทั้ง 2 ประเภท ประมาณ 200-300 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายมีกำลังการผลิตรวม 500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2569 แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าประเภทเชื้อเพลิงชีวมวล 90 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าประเภทเชื้อเพลิงขยะ 70 เมกะวัตต์ และโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในต่างประเทศ 340 เมกะวัตต์
ส่วนการจำหน่ายหุ้นทั้งจำนวนที่บริษัทฯ ถืออยู่ในบริษัทย่อย หรือ กลุ่มบริษัทโรงไฟฟ้า ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย 1.บริษัท ทีพีซีเอช เพาเวอร์ 1 จํากัด (TPCH 1) จำนวน 25,799,996 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.23 ของทุนจดทะเบียนของ TPCH 1,2.บริษัท ทีพีซีเอช เพาเวอร์ 2 จํากัด (TPCH 2) จำนวน 25,799,996 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.23 ของทุนจดทะเบียนของ TPCH 2, 3.บริษัท ทีพีซีเอช เพาเวอร์ 5 จํากัด (TPCH 5) จำนวน 19,799,996 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.00 ของทุนจดทะเบียนของ TPCH 5 และ 4. บริษัท อีโค เอ็นเนอร์ยี กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น จํากัด (ECO) จำนวน 63,375,434 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 99.90 ของจำนวนทุนจดทะเบียนของ ECO ขณะนี้ มีความคืบหน้าโดยวันที่ 27 ตุลาคม 2566 ได้มีการทำการซื้อขายเงินลงทุนดังกล่าว และจะได้รับค่าเงินลงทุนทั้งหมดในช่วงไตรมาสที่ 1/2567 และจะทยอยโอนหุ้นให้ครบในลำดับต่อไป