บล.บัวหลวง
Betagro (BTG TB / BTG.BK)
BTG – ขาดทุนสูงกว่าคาดเล็กน้อย; คาดขาดทุนหลักไตรมาส 4/66 มีแนวโน้มลดลง QoQ
ขาดทุนสุทธิและขาดทุนหลักสูงกว่าคาดเล็กน้อย
BTG รายงานขาดทุนสุทธิไตรมาส 3/66 ที่ 784 ล้านบาท พลิกกลับ YoY จากกำไรสุทธิ 2.3 พันล้านบาทในไตรมาส 3/65 และขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้น 124% QoQ หากไม่รวมรายการพิเศษในไตรมาส 3/66 ได้แก่ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 11 ล้านบาท ขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงตราสารอนุพันธ์ 7 ล้านบาท ขาดทุนจากสินทรัพย์ชีวภาพ 23 ล้านบาท และกำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนและที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 2 ล้านบาท ขาดทุนหลักในไตรมาสนี้อยู่ที่ 766 ล้านบาท แย่ลงถ้าเทียบกับกำไรหลัก 2.33 พันล้านบาทในไตรมาส 3/65 และขาดทุนหลักเพิ่มขึ้น 186% QoQ ทั้งขาดทุนสุทธิและขาดทุนหลักมากกว่าที่คาด 5% เนื่องจากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงกว่าคาด และการบันทึกเป็นรายการภาษีจ่าย (ก่อนหน้านี้เราคาดเป็นรายการเครดิตภาษี) ยอดขายกำไรขั้นต้น และอัตรากำไรขั้นต้นถือว่าเป็นไปตามคาดก่อนหน้า อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้อยู่ที่ 8.2% ลดลงจาก 20.5% ในไตรมาส 3/65 และ 10.5% ในไตรมาส 2/66
ประเด็นสำคัญจากผลประกอบการ
ผลประกอบการหลักที่แย่ลง YoY เนื่องจากยอดขายที่ปรับตัวลดลง (เนื่องจากราคาหมูไทย ราคาหมูกัมพูซา และราคาไก่ไทยที่ปรับตัวลดลง) และอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวลงแรง (จากต้นทุนวัตถุที่เพิ่มขึ้นแรงและราคาหมูที่ปรับตัวลดลง) สถานการณ์หมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้าอย่างผิดกฎหมายได้ซ้ำเติมภาวะอุปทานหมูไทยที่ลันตลาด ณ ปัจจุบัน (ส่งผลให้ราคาหมูไทยลดลงไปแตะจุดต่ำสุดในเดือนต.ค.) และกดต้นให้อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจปศุสัตว์โดยรวม (โดยเฉพาะในส่วนของอาหารและโปรตีน) ปรับตัวลดลง ยอดขายรวมในไตรมาสนี้ลดลง 8% YoY นำโดยยอดขายธุรกิจชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์พลอยได้ (ลดลง 26% YoY) ยอดขายธุรกิจปศุสัตว์ (ลดลง 20% YoY) ยอดขายธุรกิจในต่างประเทศ (ลดลง 16% YoY) ยอดขายธุรกิจผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์บรรจุภัณฑ์และยอดขายธุรกิจส่งออก [ลดลง 13-14% YoY) และยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยง (ลดลง 18% YoY เนื่องจากการลดคำสั่งซื้อจากลูกค้าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 หลังจากที่ลูกค้าได้ทำการสต็อกสินค้าไปแล้วจำนวนมากในช่วงครึ่งหลังของปี 2565) มีเพียงแค่ยอดขายธุรกิจเกษตรในไตรมาสนี้ที่ยังคงเติบโต 9% YoY (เนื่องจากการปรับเพิ่มราคาขาย ซึ่งสอดคล้องกับต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น และการขยายกำลังการผลิตที่โรงงาน จังหวัดนครราชสีมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565)
อัตรากำไรขันต้นของธุรกิจเกษตรเพิ่มขึ้นจาก 11.1% ในไตรมาส 3/65 ไปเป็น 14% ในไตรมาส 3/66 เนื่องจากการปรับราคาขายอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจอาหารและโปรตีนลดลงจาก 26.1% ในไตรมาส 3/65เหลือ 5% ในไตรมาส 3/66 เนื่องจากราคาหมูที่ปรับตัวลดลงและต้นทุน วัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจในต่างประเทศลดลงเล็กน้อยจาก 8% ในไตรมาส 3/65 เหลือ 5.7% ในไตรมาส 3/66 และอัตรากำไรขั้นต้นของ ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นทั้ง YOY และ QoQ ไปอยู่ที่ 27.8% (เนื่องจากการปรับเพิ่มราคาขายและการเพิ่มสัดส่วนของผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีอัตรากำไรที่สูงขึ้น)
แนวโน้ม
เราคาดขาดทุนหลักในไตรมาส 4/66 ที่ 565 ล้านบาท พลิกกลับ YoY จากกำไรหลัก 1.66 พันล้านบาทในโตรมาส 4/65 (เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงจากราคาหมูไทยและราคาไก่ไทยที่ปรับตัวลดลง) แต่ขาดทุนหลักคาดว่าจะลดลง 26% QoQ (เนื่องจากการฟื้นตัวของราคาหมูไทยและราคาไก่ไทย รวมถึงต้นทุน วัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง) เราเห็นปัจจัยบวกได้แก่ 1) ราคาหมูมีชีวิตของไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 57 บาท/กก. ในช่วงกลางเดือนต.ค. ไปเป็น 65 บาท/กก. ในช่วงต้นถึงกลางเดือนพ.ย. และ 2) ราคาลูกหมูของไทยที่ฟื้นตัวดีขึ้นจากจุดต่ำสุดเมื่อเร็วๆ นี้ที่ 1,100 บาท/ตัวในเดือนต.ค. ไปเป็น 1,600 บาท/ตัวในช่วงกลางเดือนพ.ย.
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป
เรายังคงประมาณการทั้งขาดทุนสุทธิและขาดทุนหลักสำหรับทั้งปี 2566 ไว้เท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง รวมถึงยังคงประมาณการสำหรับปี 2567 ไว้เท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน
คำแนะนำ
เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” หุ้น BTG เนื่องจากการคาดการณ์ราคาปศุสัตว์ไทยที่จะกลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 จนถึงช่วงกลางปี 2567