KS Daily View 15.11.2023 >>> เงินเฟ้อสหรัฐฯ ต่ำคาด ทำให้ Bond yield ปรับลงแรง คาดดัชนีปรับตัวขึ้นในกรอบ 1,385-1,410 จุด หุ้นแนะนำ MTC, AAV
สรุปภาวะตลาดเมื่อวานนี้
]ต่างประเทศ : ดัชนี DJIA +1.43%, S&P 500 +1.91%, NASDAQ +2.37%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ Real Estate (+5.32%), Utilities (+3.94%), Consumer Discretionary (+3.32%) ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่ Utilities (-1.23%), Real Estate (-0.82%) เป็นต้น
ในประเทศ: SET Index -1.09 จุด หรือ -0.08% ปิดที่ 1,386.04 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ SJWD (+7.08%), SPRC (+6.62%), OR (+6.08%), SABUY (+4.48%) เป็นต้น ส่วนที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ HANA (-13.24%), CBG (-6.27%), BCPG (-5.65%), EA (-4.52%) เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
ประเมินตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในกรอบ 1,385 – 1,410 จุด ได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงแรง (US 10Y bond yield ปรับตัวลงต่ำกว่า 4.5%) หลังการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาต่ำคาดทั้ง CPI และ Core CPI โดย Core service exhousing ซึ่งเป็นตัวเลขที่ Fed ติดตามทำจุดต่ำสุดนับแต่เดือน ธ.ค. 2564 ส่งผลให้ตลาดปรับเพิ่มคาดการณ์โอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน พ.ค. 2567 สูงถึง 68%
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐฯ ในเดือนต.ค.66 ลดลงมาอยู่ที่ 3.2% YoY จาก 3.7% YoY ในเดือนก.ย. และน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 3.3% YoY ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.2% MoM และ 4.0% YoY ในเดือนต.ค.2566 น้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 4.1% YoY เช่นกันและลดลงจาก 4.1% YoY ในเดือนก.ย.2566
2.) MSCI ประกาศหุ้นเข้าออก มีผล 30 พ.ย. โดย MSCI Global Standard index ไม่มีหุ้นเข้า ขณะที่ BGRIM, EGCO, RATCH ถูกปรับออกไปเข้าใน MSCI Global Small Cap index ขณะที่ ACE, ASK, KEX, ONEE, RAM, SABUY, TFG, TTA, VIBHA ถูกปรับออกจาก MSCI Global Small Cap index สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำรอซื้อหุ้นถูกปรับออก โดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, EGCO, RATCH) ในวันที่ 30 พ.ย. เพราะจากสถิติจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกหลัง 1 สัปดาห์ กอปรกับ Bond yield ที่ปรับลดลงหนุนด้วย
3.) คลังเคาะตั้งกองทุน ESG โดยกำหนดงื่อนไขกองทุนดังกล่าวจะต้องเป็นการลงทุน 8 ปีเต็ม โดยมีอายุกองทุน 10 ปี ลงทุนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมิน หักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อราย มีเป้าหมายมุ่งเน้นให้ลงทุนในตลาด หุ้นไทยและตลาดตราสารหนี้ไทยที่เป็นธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล (ESG) รวมกันอยู่ประมาณ 210 บริษัท กรมสรรพากรเตรียมเสนอที่ประชุม ครม.ในวันอังคารหน้าพิจารณา ออกเป็นพระราชกำหนด หวังให้ประชาชนซื้อหน่วยลงทุน TESG ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2566 ในช่วง 1 เดือนท้ายปี เพื่อนำไปหักลดหย่อยภาษีประจำปี ได้ในเดือน ม.ค.-มี.ค.2567
4.) ธนาคารกลางจีนจะอัดฉีดเงินจำนวน 1 ล้านล้านหยวน (US$137bn) ด้วยต้นทุนดอกเบี้ยต่ำเข้าสู่ระบบธนาคารพาณิชย์เพื่อให้ปล่อยต่อให้กับผู้พัฒนาฯอสังหาฯ และผู้ซื้อบ้านเพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาฯของจีน ทั้งนี้จากรายงานข่าวของ Bloomberg กล่าวว่า ธนาคารกลางจีนมีแผนที่จะอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการ Pledged Supplemental Lending and special loans (PSL) โดยตัวเลขเม็ดเงินภายใต้โครงการ PSL อยู่ที่ 2.9 ล้านล้านหยวน ณ สิ้นเดือน ต.ค. 66 และหากรวมเงินก้อนใหม่อีก 1 ล้านล้านหยวน จะทำให้เม็ดเงินรวมเร่งตัวไปที่ระดับ 3.9 ล้านล้านหยวนสูงกว่าการอัดฉีดในปี 2019 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเดิม มองการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนเป็นสัญญาณบวกต่อกลุ่มส่งออก ปิโตรฯ กระดาษ และเดินเรือ
5.) การประกาศซื้อหุ้นคืนต่อเนื่องของบริษัทจดทะเบียนจากที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมามากเป็นอีกสัญญาณที่สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยอาจใกล้ถึงจุด bottom โดยนับแต่เดือน ส.ค. ที่ผ่านมามีบริษัทประกาศซื้อหุ้นคืนกว่า 10 รายได้แก่ TOA, EA, NEX, SSP, MAJOR, III, SMT, NEX, TACC, SCM และ GUNKUL
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,370-1,425 จุด ในสัปดาห์นี้ ปัจจัยที่จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดในสัปดาห์นี้ได้แก่ 1.) การรายงานผลประกอบการ 3Q23 ของไทย 2.) ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ต.ค. ล่าสุดออกมาที่ 0% MoM และ 3.2% YoY ต่ำกว่าคาด 3.) การพบปะของผู้นำสหรัฐฯ และจีนในการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC คืนวันพุธนี้ 4.) การ review หุ้นเข้าออก MSCI ในวันที่ 14 พ.ย. (เช้าวันที่ 15 พ.ย. ของไทย)
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
- MTC (ราคาพื้นฐาน 46.50 บาท) เราคาดว่าผลประกอบการจะเริ่มดีขึ้น QoQ ในอีก 2-3 ไตรมาสข้างหน้า สัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ลดลงจะช่วยชดเชยผลกระทบจาก NIM ที่หดตัวลง ขณะที่ credit cost ที่ลดลงจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตของกำไรปกติในปี 2567-68
- AAV (ราคาพื้นฐาน 2.70 บาท) เรามองว่าผลประกอบการของ AAV ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาศ3/66 แล้วผลประกอบการไตรมาศ4/66 จะเป็นจุดสูงสุดของปี 2566 ผู้บริหารคาดการณ์ Average fare ในไตรมาศ4/66 จะเติบโตขึ้น 15-20% QoQ หรือประมาณ 1,978-2,064 บาท ซึ่งจะช่วยทำให้บริษัทสามารถส่งผ่านต้นทุนน้ำมันที่สูงขึ้นไปยังผู้โดยสารได้ บริษัทยังคงประมาณการผู้โดยสารปีนนี้ที่ 20 ล้านคน ซึ่งสะท้อนประมาณการผู้โดยสารไตรมาศ4/66 ที่ 6.2 ล้านคน คาดปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบิน ทั้งนี้ปัจจุบันภาษีสรรพสามิตน้ำเครื่องบินอยู่ที่ 4.7 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้นจาก 0.2 บาทต่อลิตรในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด19
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันพุธติดตาม ตัวเลขดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีน (Industrial Production) เดือนต.ค. ตลาดคาดที่ 4.8% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 4.5% YoY ต่อด้วยตัวเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ (Retail Sales) เดือนต.ค. ของสหรัฐฯ ตลาดคาดที่ 2.1% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 3.8% YoY และตัวเลขดัชนีภาคการผลิต Empire State Manufacturing Index เดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ ตลาดคาดที่ -2.6 เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -4.6
- วันพฤหัสบดีติดตามตัวเลขดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ (Industrial Production) เดือนต.ค. ตลาดคาดที่-0.5% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 0.1% YoY และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอสังหาฯ (NAHB Housing Market Index) ของสหรัฐฯ เดือนพ.ย. ตลาดคาดทรงตัวที่ 40 จุดเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
- วันศุกร์ติดตามตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของยุโรปทั่วไป (Consumer Price Index – CPI) เดือน ต.ค. ตลาดคาดที่2.9% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 4.3% YoY และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (core CPI) ตลาดคาดที่ 4.2% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 4.5% YoY ต่อด้วยตัวเลขขออนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. ตลาดคาดที่ 1.45 ล้านยูนิต เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 1.47 ล้านยูนิต และจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. ตลาดคาดที่ 1.35 ล้านยูนิต เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 1.36 ล้านยูนิต