บล.บัวหลวง: 

SAFE Fertility Group (SAFE TB /SAFE.BK)

SAFE – ดีกว่าคาด; ไตรมาสที่ดีที่สุดกำลังมา

ดีกว่าที่เราและตลาดคาด ดำเนินการได้ดี มี EBITDA และ NPM ที่แข็งแกร่ง SAFE รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/66 แข็งแกร่งที่ 61 ล้านบาท (สูงสุดนับตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19) เพิ่มขึ้น 56% YoY และ 17% QoQ ผลประกอบการดีกว่าที่เราและตลาดคาด และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายต่ำกว่าคาด

ประเด็นสำคัญจากผลประกอบการ

การเติบโตของกำไร YoY และ QoQ ได้รับแรงหนุนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายที่ลดลง รายได้ธุรกิจการแพทย์อยู่ที่ 223 ล้านบาท (สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19) เพิ่มขึ้น 22% YoY และ 2% QoQ รอบ OPU ไตรมาส 3/66 มีทั้งหมด 314 รอบ เพิ่มขึ้น 13% YoY แต่ลดลง 7% QoQ อัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจการแพทย์ในไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 55.7% เพิ่มขึ้นจาก 54.6% ในไตรมาส 3/65 และเพิ่มขึ้นจาก 54.7% ในไตรมาส 2/66 อัตราส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหาร ต่อยอดขายในไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 23.2% ลดลง 4.3% YoY และ 3.4% QoQ ฐานะเงินสดสุทธิปลายเดือนก.ย.ของ SAFE อยู่ที่ 756 ล้านบาท

แนวโน้ม

ผู้บริหารของ SAFE มองเห็นอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าชาวไทย-จีน โดยมีเป้าหมายที่จะมีลูกในปีมังกร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าอุปสงค์การรักษาภาวะมีบุตรยากจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไตรมาส 4/66 และไตรมาส 1/67 ในกลุ่มผู้ปกครองที่กำลังมองหาปีเกิดอันเป็นมงคลสำหรับลูกของตน ดังนั้นเราจึงคาดว่ารายได้ธุรกิจการแพทย์ในไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 253 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% YoY (จากฐานที่ต่ำในไตรมาส 4/65) และ 12% QoQ กำไรหลักไตรมาส 4/66 จะเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ รายได้ธุรกิจการแพทย์จะเพิ่มขึ้น YOY และ Q0Q อัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจการแพทย์จะเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อยอดขายคาดว่าจะลดลง YoY และ QoQ (รายได้ที่สูงขึ้น)

สิ่งที่เปลี่ยนแปลง

กำไรหลัก 9 เดือนแรกของปี 2566 คิดเป็น 72% ของประมาณการปี 2566 ของเรา (71% ของประมาณการตลาด) เราคาดว่า SAFE จะรายงานกำไรหลักที่ดีอีกครั้งในไตรมาส 4/66 (83% ของระดับก่อนโควิดปี 2562) ปัจจัย ขับเคลื่อนคือการเติบโตของรายได้ธุรกิจการแพทย์ที่ 22% และมีศักยภาพในการรักษาอัตรากำไรหลักให้อยู่ในระดับสูงที่ 23.4% และสูงขึ้นในปี 2567 เราคาดว่าธุรกิจผู้ป่วยต่างชาติจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปลายปีนี้ โดยเฉพาะ ผู้ป่วยในจีน ควบคู่ไปกับการผ่อนคลายการเดินทางในภูมิภาค ข้อจำกัดและข้อกำหนดในการกักกัน

คำแนะนำ

ผลประกอบการไตรมาส 3/66 ออกมาดีกว่าคาด และแนวโน้มไตรมาส 4/66 และปี 2567 ที่แข็งแกร่ง จะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นในระยะสั้น-กลาง เราแนะนำเข้าลงทุนโดยคาดว่าจะมีการฟื้นตัวของอุปสงค์ผู้ป่วยชาวจีนในปลายปีนี้ (ซึ่งจะเป็นปัจจับขับเคลื่อนกำไรหลัก) เราแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย ณ สิ้น ปี 2567 ที่ 25 บาท

ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ PER ปี 2567 ที่ 18.8 เท่า ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างมากสำหรับโรงพยาบาลระดับกลางและกลุ่มรักษาผู้มีบุตรยาก เทียบกับ 25.3 เท่าสำหรับ GFC (ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากแห่งเดียวที่จดทะเบียนในประเทศไทย)

- Advertisement -