รัฐบาลอนุมัติกองทุนตัวใหม่ มองเป็นบวกกับตลาดหุ้นไทย

Market Update

ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 0.18% ถูกกดดันจากการปรับลงของหุ้นกลุ่มค้าปลีกหลังบริษัทค้าปลีกหลายแห่ง รายงานผลประกอบการที่นักลงทุนผิดหวัง ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดทรงตัว โดยนักลงทุนรอดูผลประชุม OPEC+ ที่จะทราบในวันอาทิตย์นี้

Market Outlook

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานยอดขายบ้านมือสองที่ 3.79 ล้านหลังคาเรือนต่ำกว่า Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 3.9 ล้านหลังคาเรือน นอกจากนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯยังได้เปิดเผยรายงานผลประชุม FED ช่วงต้นเดือน พ.ย. ใจความสรุปเบื้องต้นว่าทางคณะกรรมการของ FED ยังคงกังวลกับเงินเฟ้อที่ยังคงปรับลงได้ยาก และอาจจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวด จนกว่าระดับเงินเฟ้อจะลงมาอยู่ที่ 2% อย่างไรก็ตามคณะกรรมการจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง และตัดสินใจบนข้อมูลที่เข้ามาทั้งหมด รวมไปถึงผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจกับความเสี่ยงต่างๆ โดยประธาน FED กล่าวเพิ่มเติมว่าความจริงก็คือคณะกรรมการยังไม่ได้ตัดสินใจใดๆเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยทั้งน้น แต่ไม่ว่าอย่างไรทาง CNBC ระบุว่า Trader ของตลาด Fed fund future เชื่อว่าแทบเป็นไปไม่ได้ที่ FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกและเชื่อว่าการปรับลดดอกเบี้ยจะเริ่มเกิดในช่วง พ.ค. 2024 สอดคล้องกับ CME FED Watch ที่ให้น้ำหนักมากถึง 99.8% ที่ FED จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมกลางเดือน ธ.ค. ภายหลังจากทราบข้อมูลทั้งหมดพบว่า US Bond Yield ทั้งรุ่นอายุ 10 และ 2 ปี ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลง พร้อมกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนว่านักลงทุนอยู่ในภาวะคลายกังวลกับการดำเนินนโยบายที่เข้มงวด อย่างไรก็ตาม การคลายกังวลกลับเริ่มไม่ส่งผลใดๆ กับตลาดหุ้นมากนักสะท้อนผ่านตลาดหุ้น EU , US ที่ปรับลง (Price In ประเด็นด้านดอกเบี้ยไปมากแล้ว)

ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้ที่ประชุม ครม. อนุมัติกองทุน TESG ที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้แต่จำกัดวงเงินในการซื้อที่ 1 แสนบาท / คน / ปี โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุนของไทย สำหรับตราสารทุนจะเน้นที่หุ้น ESG เป็นหลักแต่ผู้ถือหน่วยลงทุนจะต้องถือ 8 ปีขึ้นไป และกองทุน TESG จะไม่รวมกับกองทุนต่างๆซึ่งถือเป็น Upside ต่อการลดหย่อนได้เพิ่มอีก 1 แสนบาทเรามองปัจจัยดังกล่าวเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยอย่างน้อยก็เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามา ช่วยตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือน ธ.ค. หรือ 1Q24 เลือก Top Pick ใน ESG ได้แก่ (ADVANC AOT BBL BDMS BJC CPALL CPAXT CPN CRC KBANK KTB)

วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1415 – 1430 เชิงกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นการ Trading เลือกหุ้นที่มีโอกาสเป็นเป้าหมายของกองทุน TESG ตามรายชื่อที่แนะนำข้างต้น ส่วนการทยอยสะสมยังเน้นที่หุ้นใหญ่ Valuation ไม่แพง อาทิ ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) ศูนย์การค้า (CPN)

หุ้นแนะนำซื้อวันนี้

TIDLOR (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท)

แม้ต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะกดดัน NIM ของกลุ่มบริษัทการเงิน แต่เรามองว่ากำไรจะฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดกำไรสุทธิของกลุ่มจะโต YoY และ QoQ ในไตรมาส 4/23 หนุนจาก NII ที่สูงขึ้น เพราะสินเชื่อที่ขยายตัวขึ้น และค่าธรรมเนียมประกันที่สูงขึ้น พร้อมเลือก TIDLOR เป็นหุ้นเด่นเพราะงบดุลที่ยืดหยุ่นดี อัตรากำไรที่ปรับดีขึ้น และราคาหุ้นที่น่าถึงดูด

CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 72.00 บาท)

กำไรสุทธิไตรมาส 3/23 อยู่ที่ 4.4 พันล้านบาท ขณะที่กำไรปกติอยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท (+12%YoY, -5%QoQ) สอดคล้องกับคาดการณ์ของเราและ Bloomberg consensus กำไรที่โตแข็งแกร่ง ได้อานิสงส์จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่บวก 3.5% และต้นทุนทางการเงินที่ลดลง เราคาดว่ากำไรไตรมาส 4/23 จะโตต่อเนื่อง YoY และ QoQ จาก SSSG ที่แข็งแกร่ง อัตรากำไรธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS) ที่ดี

- Advertisement -