บล.บัวหลวง:

Asset Management – เดินหน้าซื้อหนี้เพิ่ม เพื่อเติบโตระยะกลาง-ยา

เราคาดว่าธุรกิจบริหารหนี้ที่ไม่มีหลักประกันจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าธุรกิจบริหารหนี้ที่มีหลักประกันในปี 2567 โดยได้แรงหนุนทางอ้อมจากนโยบายใหม่ของรัฐบาลและการเติบโตของ GDP ที่เร็วขึ้น บริษัทบริหารสินทรัพย์ซื้อหนี้เพิ่มขึ้นมากใน 9 เดือนแรกของปี 2566 เพื่อรองรับการเติบโตระยะกลางถึงระยะยาว เราแนะนำซื้อ เพียง JMT

กลุ่มบริหารสินทรัพย์มีหนี้ให้ซื้อจำนวนมาก

ธนาคารพาณิชย์ไทยรายงานหนี้เสียอยู่ที่ 4.946 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือน.. 2566 (รูปที่ 1) ลดลง 1.6% YoY แต่เพิ่มขึ้น 0.5% QoQ อย่างไรก็ตามหนี้เสียรายย่อย (รวมถึงการกู้บ้าน) มีมูลค่ารวม 1.518 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือน.. เพิ่มขึ้น 7.9% YoY และ 3.6% QoQ ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดในรอบ 10 ปี เราคาดว่า BAM และ JMT จะได้ประโยชน์ เนื่องจากทั้งคู่เชี่ยวชาญในการบริหารหนี้รายย่อยด้อยคุณภาพ และสามารถซื้อหนีใหม่ได้ในราคาที่แข่งขันได้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 JMT ใช้เงิน 6.3 พันล้านบาทเพื่อซื้อหนี้ใหม่ เพิ่มขึ้น 278% YoY ในขณะที่ BAM จ่าย 1.28 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 305% YoY

ธุรกิจบริหารหนี้ที่ไม่มีหลักประกันจะฟื้นตัวในปี 2567

เราคาดการเติบโตของ GDP สำหรับประเทศไทยอยู่ที่ 2.7% ในปี 2566 และ 3.8% ในปี 2567 หนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและการ ฟื้นตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค ทั้งนี้ เราคาดว่าการบริหารหนี้ที่ไม่มีหลักประกันจะฟื้นตัวในปี 2567 อัตราค่างวดเฉลี่ยของหนี้ที่ไม่มีหลักประกันนั้น น้อยกว่าหนี้ที่มีหลักประกันมากและโดยปกติแล้วหนี้ที่ไม่มีหลักประกันสามารถชำระได้เร็วกว่า ดังนั้น เราจึงเชื่อว่าธุรกิจบริหารหนี้ที่ไม่มีหลักประกันจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าธุรกิจบริหารหนี้ที่มีหลักประกัน จำนวนการเก็บเงินสดในไตรมาส 4/66 ของทั้ง BAM และ JMT จะเพิ่มขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยฤดูกาลและแนวโน้มดังกล่าวจะยังคงอยู่ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 เนื่องจากทั้งสองบริษัทได้ซื้อหนี้ใหม่จำนวนมาก

ธุรกิจบริหารหนี้ที่มีหลักประกันได้รับผลกระทบจากมาตรฐานการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดยิ่งขึ้น

ธนาคารต่างๆ ได้กำหนดเกณฑ์คัดกรองสินเชื่อใหม่ที่เข้มงวดขึ้น เพื่อปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ ลูกค้าของ BAM จำนวนมากประสบปัญหาในการขอสินเชื่อใหม่ เพื่อซื้อหนี้และสินทรัพย์ที่มีหลักประกัน และลูกค้าจำนวนมากพบว่าการรีไฟแนนซ์หนี้กับธนาคารทำได้ยากขึ้น ส่งผลให้การชำระหนี้หนี้ที่มีหลักประกันกับ JMT ล่าช้า นอกจากนี้ ลูกค้าของ BAM บางรายกำลังชะลอการตัดสินใจซื้อหนี้ และสินทรัพย์ระดับกลางถึงใหญ่ เนื่องจากพวกเขากังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เราคาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2567

เราชอบ JMT มากกว่า BAM

เราให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มบริหารสินทรัพย์น้อยกว่าตลาด ปัจจุบันเราแนะนำซื้อเพียง JMT เนื่องจากเราคาดว่าธุรกิจบริหารหนี้ไม่มีหลักประกันจะเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 โดย PER ปี 2567 ของ JMT อยู่ที่ 16 เท่า ในขณะที่ EPS CAGR ในปี 2567-2568 อยู่ที่ 19% ส่งผลให้อัตราส่วน PEG อยู่ที่ 0.8 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 1.2 เท่าอย่างมาก) PBV ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 1.6 เท่า

เราแนะนำขาย BAM เนื่องจากเราคาดว่าธุรกิจบริหารหนี้ที่มีหลักประกันจะฟื้นตัวได้ช้า PER ปี 2567 อยู่ที่ 14 เท่า ในขณะที่ EPS CAGR ปี 2567-2568 อยู่ที่ 12% ส่งผลให้อัตราส่วน PEG อยู่ที่ 1.1 เท่า ซึ่งดูเต็มมูลค่าแล้ว

- Advertisement -