KS Daily View 22.12.2023 >>> คาดดัชนีแกว่งตัวขึ้นในกรอบ 1,390-1,410 จุด หนุนจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก่อนการประกาศตัวเลข Core PCE วันนี้ ระวังแรงขายหุ้นพลังงานบนราคาน้ำมันดิบลดลง หุ้นแนะนำ KAMART
สรุปภาวะตลาดเมื่อวานนี้
- ต่างประเทศ : ดัชนี DJIA +0.87%, S&P 500 +1.03%, NASDAQ +1.26%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ Consumer discretionary (+1.44%), Health Care (+1.20%), Communication Services (+1.11%) ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่ Utilities (+0.16%), Energy (+0.39%), Consumer Staples (+0.72%) เป็นต้น
- ในประเทศ: SET Index +4.47 จุด หรือ +0.32% ปิดที่ 1,404.84 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ GUNKUL (+6.06%), FORTH (+3.74%), JMART (+3.37%), BTG (+3.08%) เป็นต้น ส่วนหุ้นที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ PTTGC (-6.79%), TRUE (-1.85%), IVL (-1.80%), PSL (-1.75%) เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
ประเมินตลาดหุ้นไทยปรับตัวในกรอบ 1,390 – 1,410 จุด ตลาดยืนได้ ตาม sentiment บวกตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้น หลังคาดการณ์ GDP ของสหรัฐครั้งที่ 3 เผยอาจขยายตัวต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3/2566 จะเป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า แต่อาจมีแรงกดดันในหุ้นพลังงาน สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดหลุดระดับ 73 ดอลลาร์ (-0.4% DoD)
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 ของ GDP ประจำไตรมาส 3/2566 ระบุว่า GDP สหรัฐขยายตัว 4.9% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 5.1% ขณะที่ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 และ 2 อยู่ที่ระดับ 4.9% และ 5.2% ตามลำดับ
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดหลุดระดับ 73 ดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ในตลาด หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 2.2 ล้านบาร์เรล และประเทศแองโกลา ซึ่งมีผลผลิตน้ำมันดิบ 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวันขอออกจากกลุ่มโอเปค ทำให้นักลงทุนกังวลเรื่องศักยภาพของกลุ่มโอเปคในการพยุงราคาน้ำมันดิบ จากก่อนหน้านี้ได้แรงหนุนจากกบฏฮูตีโจมตีเรือสินค้าที่ทะเลแดง
- เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการไตรภาคีได้ออกมายืนยันว่ามีมติจะยื่นเสนอ ครม. เพื่อขอขึ้นค่าแรงด้วยอัตราเดิมที่ 2 – 16 บาท โดยไม่ได้มีการปรับขึ้นตามที่นายกอยากได้ โดยกล่าวว่าอัตราดังกล่าวเหมาะสมแล้วตามสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน และกล่าวว่าอาจจะสามารถพิจารณาปรับเพิ่มได้อีกในปีหน้าตามความเหมาะสม เรามีมุมมองเป็นลบน้อยลงต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจากเรื่องดังกล่าว โดยเรามองว่า-ข่าวดังกล่าวจะช่วยลดความกังวลต่อภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นกับกลุ่มรับเหมาก่อสร้างได้ โดยเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ณ ช่วงเวลาที่มีการถอดเรื่องการขึ้นค่าแรงออกจาก ครม. ไปพิจารณาใหม่ทำให้ตลาดกังวลว่าค่าแรงอาจจะขึ้นเยอะกว่าอัตราที่ไตรภาคีเสนอที่ 2 – 16 บาท ทำให้หุ้นรับเหมาก่อสร้างปรับตัวลง CK -8.8% DoD, STEC -8.4% DoD, ITD -5.3% DoD
- รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัย หอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์ เศรษฐกิจและธุรกิจ แถลงข่าวถึงแนวโน้มพฤติกรรม และการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 โดยระบุว่า ผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่าย ของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่สำรวจระหว่างวันที่ 10-16 ธันวาคม 2566 สำรวจประชากรกลุ่ม ตัวอย่างทั่วประเทศไทยจำนวน 1,258 ตัวอย่าง โดยได้ประเมินการใช้จ่ายมีมูลค่า 105,924.21 ล้านบาท ขยายตัว 2.8% สูงสุดในรอบ 4 ปี นับเป็น ครั้งที่ 2 ที่มีเงินสะพัดเกินแสนล้านบาท
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวขึ้นในกรอบ 1,390-1,410 จุด ในสัปดาห์นี้ โดยมีปัจจัยหนุนจาก การอ่อนค่าของ USD หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยชัดเจนในปีหน้า หนุน Funds flow ไหลเข้าลงทุนในตลาด Emerging market โดยตลาดหุ้นไทยที่ยัง laggard ดัชนี MSCI ACWI มากกว่า 30% YTD นอกจากนี้คาดจะเห็นเม็ดเงินกองทุน Thai ESG เริ่มทยอยเข้าลงทุนหลังจบช่วง IPO และอาจเห็นการทำ window dressing ช่วงปลายปีด้วย สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน, ยอดขายบ้านใหม่, ยอดขายบ้านมือสอง, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน, รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล, ดัชนี PCE/Core PCE Price Index เดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน พ.ย. ของยูโรโซนและญี่ปุ่น
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
- KAMART (ราคาพื้นฐาน 16.39 บาท) คาด KAMART จะบรรลุเป้ายอดขายปี 2566 ที่ 2.5 พันลบ. ขณะที่ตั้งเป้ารายได้ปี 2569 ที่ 4 พันลบ. จากการเติบโตของธุรกิจเครื่องสำอางที่มีอยู่และธุรกิจภายนอก คาดกำไรปกติ 4Q66 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 154 ลบ. (+77% YoY) ปรับสมมติฐานกำไรปี 2566-68 ขึ้น 6.4%/12.2%/20.4% จากรายได้และแนวโน้ม GPM ที่ดี
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันศุกร์ ติดตามตัวเลขยอดขายสินค้าคงทนของสหรัฐฯ (Durable goods orders) สำหรับเดือน พ.ย. ตลาดคาดที่ +1.7% MoM เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -5.4% MoM และ ตัวเลขยอดขายสินค้าคงทนของสหรัฐฯที่ไม่รวมยานยนต์ (Core Durable goods orders) สำหรับเดือน พ.ย. ตลาดคาดที่ +0.2% MoM เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ +0.0% MoM ต่อด้วยตัวเลขยอดขายบ้านใหม่ของสหรัฐฯ (New Home Sales) สำหรับเดือน พ.ย. ตลาดคาดที่ 6.95 แสนยูนิต เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 6.79 แสนยูนิต