บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

PTG Energy (PTG)

คาดการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในเดือน ม.ค. กระทบจำกัด

  • Action BUY (Maintain)
  • TP upside (downside) +16.6%
  • Close Dec 28, 2023 Price 8.75
  • 12M Target 10.20

Event

  • เมื่อเดือน ธ.ค. 2566 ที่ประชุม ครม. ได้มีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสำหรับปี 2567 ขึ้นเป็น 330-370 บาท/วัน จากเดิม 328-354 บาท/วัน หรือคิดเป็นการปรับขึ้นเฉลี่ยราว 2.4% ตั้งแต่วันนี้ (1 ม.ค. 2567) เป็นต้นไปและมีแนวโน้มปรับขึ้นอีกครั้งในเดือน มี.ค. 2567 หลังการพิจารณาของอนุกรรมการชุดพิเศษ (จัดตั้งในเดือน ม.ค.) ทั้งนี้เราประเมินว่าประเด็นดังกล่าวจะส่งผลระทบจำกัดต่อ PTG

Our Take

  • จากการประเมินเบื้องต้นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยทุก 10 บาท/วัน จะส่งผูลให้ค่าใช้จ่าย SG&A ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นราว 42 ล้านบาท/ปี (อิงสมมติฐานปริมาณขายน้ำมันรวมในปี 2567 ที่ 6 พันล้านลิตร) ดังนั้งหากอิงค่าเฉลี่ยค่าแรงขั้นต่ำก่อน และหลังการปรับขึ้นในเดือนม.ค. 2567 ที่ 337 บาท/วัน และ 345 บาท/วัน ตามลำดับ เราจึงคาดการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในรอบดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อกำไรของ PTG ราว 34 ล้านบาท/ปี หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 2.5% ของกำไรปี 2567 (ไม่มีนัยสำคัญต่อกำไรปี 2567)
  • ในกรณีที่ภาครัฐมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยเป็น 400 บาท/วัน ในปี 2567 คาดส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทฯ ราว 268 ล้านบาท/ปี อย่างไรก็ตาม ค่าการตลาดน้ำมันที่มีแนวโน้มฟื้นตัว YoY หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลง (ส่งผลให้ภาครัฐมีการแทรกแซงราคาน้อยลง) จะสามารถชดเชยผลกระทบได้ (คาดค่าการตลาดน้ำมันปี 2567 ฟื้น ตัวมาที่ระดับ 1.75 บาท/ลิตร จากราว 1.70 บาท/ลิตร ในปี 2566)
  • สำหรับประเด็นการเปลี่ยนมาจำหน่ายน้ำมันยูโร 5 ตามแนวทางการแก้ไขปัญหา PM2.5 ของกระทรวงพลังงาน (เริ่มต้นวันที่ 1 ม.ค. 2567) จากการประเมินเบื้องต้น ในกรณีที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ได้เข้ามาอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มเติม ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้ต้นทุนน้ำมันของบริษัทฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น และเป็นปัจจัยกดดันค่าการตลาดน้ำมันในระยะสั้น (ต้นทุนสูงขึ้นแต่ราคาขายยังคงถูกตรึงไว้ที่ 30 บาท/ลิตร) แต่ในระยะกลาง-ยาวคาดส่งผลกระทบจำกัดต่อค่าการตลาดน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวลง YoY จะส่งผลให้ต้นทุนน้ำมันยูโร 5 มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน (คาดส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันกลับมาสู่ระดับ 1.80 บาท/ลิตร +/- ได้ในช่วง 2Q-3267)
  • เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 4Q66 ที่ระดับ 400 ล้านบาท +/- ฟื้นตัว YoY และ QoQ รวมถึงเป็นจุดสูงสุดของปีหลังได้แรงหนุนจากปริมาณขายที่มีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสที่ราว 1,540-1,570 ล้านลิตร ตามปัจจัยฤดูกาลและค่าการตลาดน้ำมันที่มีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับ 1.80-1.90 บาท/ลิตร (เทียบกับ 1.58 บาท/ลิตร ใน 4Q65 และ 1.67 บาท/ลิตร ใน 3Q66)
  • คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 10.20 บาท/หุ้น มี Upside +16.6% โดยเรามองว่าราคา ปัจจุบันที่ซื้อขายบน PER2567 ที่ราว 10.8 เท่า (ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี -1.8SD) ได้สะท้อนความเสี่ยงจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และการเปลี่ยนมาจำหน่ายน้ำมันยูโร 5 ไปมากแล้ว นอกจากนี้ผลประกอบการที่คาดผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และอยู่ระหว่างการฟื้นตัวจะเป็นปัจจัยที่ช่วยจำกัด Downside ของราคาหุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ”
- Advertisement -