KS Daily View 03.01.2024 >>> คาด SET พักฐานกรอบ 1,420-1,440 จุด ตลาดต่างประเทศเข้าสู่โหมด Risk-off จากนักลงทุนหวังเฟดลดดอกเบี้ย หุ้นแนะนำ AMATA, AP

สรุปภาวะตลาดเมื่อวานนี้

ต่างประเทศ : ดัชนี DJIA +0.07%, S&P 500 -0.57%, NASDAQ -1.63%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ Health Care (+1.76%), Utilities (+1.38%), Energy (+1.19%) ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่ IT (-2.58%), Industrials (-0.95%), Communication Services (-0.91%) เป็นต้น

ในประเทศเมื่อวันจันทร์: SET Index +17.53 จุด หรือ +1.24% ปิดที่ 1,433.38 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ VGI (+13.99%), BYD (+11.73%), COM7 (+11.34%), AAV (+6.53%) เป็นต้น ส่วนหุ้นที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ BCP (-4.60%), DOHOME (-3.94%), AMATA (-3.74%), RBF (-3.42%) เป็นต้น

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:

คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,420-1,440 จุด คาดมีโอกาสพักฐานตามตลาดต่างประเทศที่เข้าสู่โหมด Risk-off จากนักลงทุนปรับความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟด ทั้งนี้ตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 125bps. ในปี 2567 จากรายงานของ CME FedWatch Tool โดยวานนี้ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง -0.57% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวขึ้น 5bps. เป็น 3.93% ค่าเงิน USD แข็งค่าขึ้น 0.9% เป็น 102.20 และราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลง -1.3% เป็น 76.04 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1.) เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการยกเว้นวีซ่าระหว่างไทย-จีนเป็นการถาวรเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมจะช่วยหนุนการท่องเที่ยวของไทย เป็นบวกกับหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว ค้าปลีก ห้าง และขนส่ง ขณะเดียวกันเรามองว่านโยบายดังกล่าวจะส่งผลบวกทางอ้อมต่อกลุ่มนิคม, กลุ่มโรงเรียนนานาชาติ, กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงกลุ่มอสังหาฯ จากความสะดวกในการเดินทางมาติดต่อธุรกิจ, การศึกษา, และการเข้ามาอยู่อาศัยด้วย

2.) ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลง -1.3% เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยกดดัน ขณะที่นักลงทุนจับตาสถานการณ์ในทะเลแดงอย่างใกล้ชิด หลังจากสื่อรายงานว่าอิหร่านได้ส่งเรือรบอัลบอร์ซ (Alborz) เข้าสู่ทะเลแดง ซึ่งจะเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาค เรามองว่าสถานการณ์สะท้อนภาพความอ่อนแอของราคาน้ำมันดิบจากอุปสงค์ที่ชะลอตัว มองเป็น sentiment ลบกับกลุ่มพลังงาน

3.) มีรายงานข่าวว่า Maersk สายการเดินเรือ Container อันดับสองของโลกประกาศงดเดินเรือผ่านทะเลแดงแบบไม่มีกำหนดหลังเรือของบริษัท 1 ลำถูกโจมตี ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มเรือ Container โลก ปรับตัวขึ้นแรงวานนี้ ได้แก่ Maersk (+6.4%), Hapag Lloyd AG (+3.3%), COSCO (+2.8%) เป็นต้น เราแนะนำนักลงทุนขายทำกำไรหุ้น RCL ในกรอบ 25-27 บาท จากภาพตลาดเรือ Container โลก อุปทานโตมากกว่าอุปสงค์ แต่ค่าระวาง container ที่ปรับขึ้นมาจากประเด็น Event play เรื่องทะเลแดง เพราะสายเรือ container ต้องผ่านคลองสุเอช 30% ต้องเดินอ้อมทวีปแอฟริกา ถ้าเรื่องนี้จบคาดว่าค่าระวางจะลง

4.) ทิศทาง NVDR วานนี้พลิกกลับมาขายสุทธิหุ้นกลุ่มธนาคาร จากที่ซื้อสุทธิ ณ สิ้นวันทำการของปี มองเป็นการสลับตัวเล่น ขณะที่ภาพรวมกลุ่มธนาคารคาดกำไรปี 2567 โต 7% และ ROE ฟื้นตัวต่อเป็น 9.4% ในปี 2024 จากระดับ 9.15% ในปี 2023 จาก NIM ที่ทรงตัวสูงบนการคงดอกเบี้ยของ ธปท. credit cost ที่ลดลง และการจ่ายปันผลเพิ่ม ขณะที่ระดับปันผลตอบแทนเฉลี่ยของกลุ่มอยู่ที่ 6-6.5%

5.) ก.ล.ต. ปรับเกณฑ์ห้าม บจ. ลงทุนเกิน 40% ของสินทรัพย์รวม แบบไม่มีส่วนร่วมบริหาร และต้องเปิดเผยข้อมูลในหมายเหตุประกอบงบจนกว่าสัดส่วนการลงทุนต่ำกว่า 40% และจะไม่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ทุกประเภท กรณี บจ. มีลักษณะเป็น investment company ดังนี้คาดว่าบริษัทที่เข้าข่ายเกณฑ์ดังกล่าวจะมีการปรับโครงสร้างงบดุล และอาจขายหุ้นเพื่อรับรู้กำไรจากเงินลงทุน

6.) ติดตามแนวทางแก้ปัญหาโปรแกรมเทรดที่จะถูกชงเข้าบอร์ด ก.ล.ต.วันที่ 7 ม.ค.นี้ รวมถึงการที่ตลาดหลักทรัพย์จะขยายเวลาเทรดในช่วงบ่ายให้เร็วขึ้น 30 นาทีเป็น 13.45-16.55 น. จาก 14.15-16.55 น.

Theme การลงทุนสัปดาห์นี้

ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,390-1,440 จุด ในสัปดาห์นี้ โดยมีปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของ USD และ Bond yield ที่ลดลงตามการชะลตัวของเงินเฟ้อ หนุน Funds flow ไหลเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ตลาดหุ้นไทยยัง laggard ดัชนี MSCI ACWI มากกว่า 30% YTD และนักลงทุนต่างชาติ underweight หุ้นไทยโดยขายสุทธิ 1.96 แสนลบ. ในปีนี้ จากปี 2565 ที่ซื้อสุทธิ 2.0 แสนลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิตราสารหนี้ 8.3 พันลบ. ในปี 2566 จากปีก่อนหน้าที่ซื้อสุทธิ 2.1 แสนลบ. สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อของไทย, ประเด็น พรบ.กู้เงิน 5 แสนลบ., เงินเฟ้อยุโรป, ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ, อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ และค่าจ้างรายชั่วโมง

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

AMATA (ราคาพื้นฐาน 28.50 บาท) หนุนจากยอดขายที่ดินและโมเมนตัมกำไรที่แข็งแกร่งใน 4Q23 และ 2024 ราคาหุ้นยังเทรด discount กับ NAV ที่ 36 บาทต่อหุ้น

AP (ราคาพื้นฐาน 14.60 บาท) กำไร 4Q23 โตสูง YoY ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ และการยกเลิกวีซ่าไทยจีนถาวรหนุนความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่ม คาด Dividend yield ปี 2024 จะอยู่ที่ระดับ 6%

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันพุธติดตาม ตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิต ISM ของสหรัฐฯสำหรับเดือน ธ.ค. ตลาดคาดที่ 47.1 จุด เทียบจากเดือนก่อนหน้าที่ 46.7 จุด ต่อด้วยตัวเลขจำนวนงานเปิดหารับพนักงาน (JOLTS Job openings) ของสหรัฐฯสำหรับเดือนพ.ย. ตลาดคาดที่ 8.8 ล้านตำแหน่ง เทียบจากเดือนก่อนหน้าที่ 8.73 ล้านตำแหน่ง และช่วงข้ามคืนติดตามบันทึกการประชุม FOMC meeting minutes
  • วันพฤหัสบดีฯ ติดตาม อัตราเงินเฟ้อเยอรมัน เดือน ธ.ค. คาด 3.4% YoY เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 3.2% ตัวเลข HCOB Services PMI ของยูโรโซน เดือน ธ.ค. คาด 48.1 จุด ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 48.7 จุด ตัวเลข ADP Employment ของสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. คาด 100K ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 103K ตัวเลข Initial Jobless Claim รายสัปดาห์ ตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ และตัวเลข S&P Global Services PMI ของสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. คาด 51.3 จุด
  • วันศุกร์ ติดตาม ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Consumer Price Index – CPI) ของไทยสำหรับเดือนธ.ค. ตลาดคาดที่ -0.3% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -0.44% YoY และตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ของไทยสำหรับเดือนธ.ค. ตลาดคาดที่ 0.58% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 0.4% YoY ต่อด้วยตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ (Nonfarm payrolls) สำหรับเดือนธ.ค. ตลาดคาดที่ 1.58 แสนตำแหน่ง เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 1.99 แสนตำแหน่ง ตัวเลขอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ (Unemployment rate) สำหรับเดือน ธ.ค. ตลาดคาดที่ 3.8% เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 3.7% และตัวเลขค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยรายชั่วโมงของสหรัฐฯ (Average hourly earnings) ตลาดคาดที่ 3.9% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 4.0% YoY
- Advertisement -