บล.บัวหลวง:
- สวัสดีปีใหม่ 2567: พอร์ตการลงทุนของเราให้ผลตอบแทนดีในปีที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดหุ้นโลกและทองคำ โดยผลตอบแทนพอร์ตแบบอนุรักษ์นิยม (Conservative) แบบความเสี่ยงปานกลาง (Moderate) และแบบเชิงรุก (Aggressive) ให้ผลตอบแทนในปี 2566 ในสกุลเงินบาทที่ระดับ 2.8%, 6.6% และ 8.1% ตามลำดับ เราเชื่อว่าเงินเฟ้อที่ชะลอตัวและการปรับลดอัตราดอกเบี้ย (หลังจากปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในปี 2023) จะเป็นธีมการลงทุนหลักในปี 2024 ดังนั้นราคาสินทรัพย์ต่างๆน่าจะปรับขึ้นได้อีกซึ่งจะสามารถสร้างผลตอบแทนในกับพอร์ตการลงทุนได้เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้มุมมองการลงทุนในปี 2567 มีดังต่อไปนี้
- การท่องเที่ยวและการบริโภคเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรก ส่วนการกระตุ้นจากภาครัฐจะมาหนุนเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปี : ในช่วงครึ่งแรกของปี จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างชาติและรายได้ภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้น (จากภาวะเอลนีโญ) จะหนุนการบริโภคในประเทศ การส่งออกน่าจะเติบโตได้จากฐานต่ำในไตรมาส 1/66 ส่วนในช่วงครึ่งหลังของปี เนื่องจากผลของการฟื้นตัวหลังโควิดที่ลดลง เราคาดว่ามาตรการกระตุ้นจากภาครัฐจะหนุนการเติบโตหลังจากที่งบประมาณปี 2567 ผ่านสภา (คาดว่าผ่านได้ในครึ่งแรกของปี) โดยโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานจะเพิ่มการลงทุนใหม่ๆได้อย่างมีนัยสำคัญและโครงการ Digital Wallet 10,000 บาทจะหนุนการบริโภค โดยฝ่ายวิจัยบัวหลวงคาดว่าการเติบโตของจีดีพีไทยปี 2567 จะอยู่ที่ 3.4% (เพิ่มจากคาดการณ์ปี 2023 ที่ 2.3%)
- การกลับทิศนโยบายของเฟดหนุนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ในช่วงปลายปี ประธานเฟดส่งสัญญาณถึงการจบวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นและแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยลงในปี 2567 ซึ่งหนุนบรรยากาศการลงทุน และส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในเดือน ธ.ค. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหุ้นขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามข้อมูลในอดีตชี้ว่าหุ้นขนาดเล็กมักจะปรับตัวได้แย่กว่าตลาดทั้งในช่วงก่อนและหลังการลดดอกเบี้ยเฟด ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนว่าเฟดมักจะลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่การเติบโตชะลอตัวลง ดังนั้นหุ้นขนาดเล็ก (ซึ่งอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ) จะถูกกดดัน เราจึงคาดว่าหุ้นขนาดเล็กจะไม่สามารถปรับตัวได้ดีกว่าตลาดต่อเนื่องมาในปี 2567 เราจึงชอบ S&P500 มากกว่า Russell2000 ในปีนี้
- ญี่ปุ่นออกจากภาวะเงินฝืด: เงินเฟ้อพื้นฐานของญี่ปุ่น (หักอาหารและพลังงาน) น่าจะยังคงอยู่ในรอบ 1-2%YoY ในปี 2567 โดยเงินเฟ้อจะยังคงยืนได้หนุนจากค่าจ้างและราคาค่าบริการที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามอาจต้องใช้ระยะเวลาในการปรับความคาดหวังระยะยาวของภาคครัวเรือนและบริษัทให้ได้รับปัจจัยหนุนจากอัตราเงินเฟ้อที่ 2%YoY
- ในการประชุมเศรษฐกิจส่วนกลาง (CEWC) ในเดือน ธ.ค. 2566 พรรคคอมมิวนิสต์จีนให้คำมั่นในการส่งเสริมนวัตกรรมเชิงนโยบายและการประสานงาน: ผู้กำหนดนโยบายจีนยังตั้งใจที่จะขยายขอบเขตในการออกพันธบัตรของรัฐบาลท้องถิ่นให้ครอบคลุมในเรื่องอื่นๆ เช่น การเป็นแหล่งเงินทุนตั้งต้น (Seed Capital) ให้กับการพัฒนาธุรกิจและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขณะที่ธนาคารกลางจีนยังคงดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายโดยการอัดฉีดเงินเพิ่มอีก 8 แสนล้านหยวน (112 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) ในรูปเงินกู้ยืม 12 เดือนให้กับธนาคารพาณิชย์ในเดือน ธ.ค. ซึ่งเป็นวงเงินที่สูงกว่าที่ให้ในเดือน พ.ย. เราคาดว่าความพยายามของรัฐบาลจีนในการต่อสู้กับเงินฝืดน่าจะเริ่มเห็นผลในครึ่งแรกของปี 2567 นี้
- Fitch Rating ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศของรัฐบาลระยะยาว (IDR) จาก BB เป็น BB+: การปรับเพิ่มดังกล่าวส่งผลบวกต่อแนวโน้มการเติบโตระยะกลางของเวียดนาม หนุนจากเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติที่แข็งแกร่ง แม้ว่าระยะสั้นจะยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน อาทิ ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ฯ ความต้องการจากต่างประเทศที่อ่อนแอลง และการดำเนินนโยบายที่ล่าช้า (จากความพยายามในการปราบปรามคอรัปชั่น) แต่แนวโน้มระยะกลางของประเทศยังคงดูดี และในระหว่างนี้นโยบายที่มีอยู่ในปัจจุบันน่าจะเพียงพอที่จะจัดการความเสี่ยงระยะสั้นได้