Daily Focus: Earnings and Selective Play

2024 SET Target : 1520

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวบวกได้ค่อนข้างดีในช่วงเปิดตลาด ทดสอบแนวต้าน 1,430 จุด ก่อนที่จะมีแรงขายออกมากดดัน ทำให้ดัชนีย้อนลงมาปิดลบ 3.52 จุด ณ สิ้นวัน ที่ระดับ 1,414.93 จุด มูลค่าการซื้อขายทรงตัวที่ 4.2 หมื่นลบ, ถ่วงโดยกลุ่มท่องเที่ยว ค้าปลีกอาหาร เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่ประคองตลาด คือ อิเล็กทรอนิกส์ สื่อสารฯ สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิในตลาดหุ้นอีก 398 ลบ.และ 1 พันลบ. ตามลำดับ (สถานะใน Index Futures ยังไม่มีนัยยะ นักลงทุนต่างชาติ Long และสถาบัน Short ฝั่งละราว 3 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index แกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,410-1,420 จุด โดยไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน โฟกัสของตลาดอยู่ที่การประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯเดือน ธ.ค. ในคืนพรุ่งนี้ ซึ่งจะมีผลต่อคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยของ FED ว่าจะเกิดขึ้นในเดือน มี.ค. นี้ได้หรือไม่ และทั้งปีปรับลงกี่ครั้ง (ปัจจุบันตลาดยังมองเริ่มปรับลดเดือน มี.ค. และปรับลด 6 ครั้งปีนี้) หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาดจะช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน กลับกันหากออกมาสูงกว่าคาดจะเป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นของตลาด ด้านปัจจัยในประเทศการประชุมครม.วานนี้ยังไม่ได้มีการเคาะค่าไฟงวด ม.ค.-เม.ย. 24 ซึ่งจะไม่เกิน 4.20 บาท/หน่วย ส่วนโครงการเงินดิจิทัลต้องติดตามพัฒนาการในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้าที่คณะกรรมการฯ จะมีการนัดประชุม ด้าน Bond Yield 10 ปีของไทยขยับลงแตะ 2.73% หลังจากสัปดาห์ก่อนขยับขึ้นแตะ 2.78% โดยคาดเป็นผลจากกระแสความต้องการให้กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยเรายังมองว่ามีโอกาสต่ำที่จะเกิดขึ้นใน 1H24 หากมีนโยบายเงินดิจิทัล เรายังมองการพักตัวของดัชนียังเป็นปัจจัยระยะสั้นหลังปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งในเดือน ธ.ค. และยังคาดหวังการทยอยเร่งตัวขึ้นของเศรษฐกิจไทยในปีนี้สวนทางโลกที่ชะลอ ทำให้ยังเชื่อว่มีโอกาสที่ SET Index จะ Outperform หุ้นโลกได้ในปีนี้ ด้าน Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพงเทียบกับอดีตทั้งในแง่ PER ที่ราว 14.9 เท่าและ EY Gap ที่ 3.9%

กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่โมเมนตัมกำไร 4Q23-2024 แข็งแกร่ง และ PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid // ถือลงทุนต่อเนื่องหลังสะสมหุ้นเพิ่มที่ระดับ 1,400 จุดหรือต่ำกว่า

หุ้นเด่นเดือน ม.ค.: CHG, COM7, GFPT, SAPPE, SAWAD

หุ้นเด่นวันนี้ : SJWD

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 21.50 บาท
  • แนวโน้ม 4Q23 น่าจะสูงสุดของปี 2023 เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการรวม SCGL ที่เกิดขึ้นในงวด 9M23 ถึงเกือบ 200 ลบ. แต่หากมี goodwill ก็จะเป็นรายการ non-cash ไม่น่ากังวล
  • ธุรกิจหลักดีขึ้นต่อเนื่อง บางธุรกิจอยู่ใน low season บ้าง แต่จะชดเชยได้จาก Automotive ที่โตตามยอดขายรถ EV ของ BYD ราคาหุ้นที่ปรับลงแรงในช่วงก่อนหน้าเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนรอบใหม่
  • แนวรับ 14-13.80//13 บาท แนวต้าน 14.80-15//15.50 บาท

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนยังไหลเข้าภูมิภาคต่อเนื่องแต่ปริมาณไม่หนาแน่นนักที่ US$210 ล้าน เม็ดเงินยังไหลเข้ากระจุกที่เกาหลีใต้ US$159 ล้าน และเข้าไต้หวันบางๆ ส่วนอาเซียนเม็ดเงินไหลเข้าอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ประเทศละ US$16-20 ล้าน แต่ไหลออกจากเวียดนามและสูงสุดที่ไทย US$29 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะผสมผสานและทรงตัวเนื่องจากขาดปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้น ตลาดยังรอดูตัวเลขเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯเดือน ธ.ค. ในคืนพรุ่งนี้

ประเด็นสำคัญวันนี้

(0) Update นักท่องเที่ยว สัปดาห์ที่แรกของปี 2024 (1 -7 ม.ค.) ตัวเลขนักท่องเที่ยวลดลง 23% w-w อยู่ที่เฉลี่ย 8.7 หมื่นคน/วัน เนื่องจากสิ้นสุดเทศการปี้ใหม่ อย่างไรก็ตามตัวเลขดังกล่าวถือว่าเติบโต 65% y-y เมื่อเทียบกับ 6.1 หมื่น/วัน ใน week ที่ 1 ของปีก่อน ทั้งนี้นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเป็นลำดับหนึ่งที่ 1.2 หมื่นคน/วัน นอกจากนี้ปกติ Q1 ของทุกปีจะเป็น ช่วง Peak ของการท่องเที่ยว ดังนั้นจึงเชื่อว่าในช่วงสัปดาห์ที่เหลือของ 1Q24 น่าจะเห็นฟื้นตัว ส่วนราคาหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวที่ปรับลงวานนี้ถือเป็นโอกาสในการซื้อสะสมรอบใหม่

(-) DELTA คาดกำไรสุทธิ 4Q23 ที่ 4,642 ลบ. -15% q-q, +11% y-y จากรายได้รวม -6% q-q, +10% y-y โดยการชะลอตัว q-q มาจาก Low Season ของธุรกิจ และคาดรายได้กลุ่ม EV power ชะลอตัว เพราะ 1) ยังถูกกระทบเล็กน้อยจากปัญหาการหยุดงานในสหรัฐ และ 2) ลูกค้า EU เลื่อนคำสั่งซื้อออกไปเป็น 1H24 เชื่อว่าเป็นผลจาก Demand โดยรวมไม่แข็งแกร่งนัก ขณะที่คาดรายได้กลุ่ม Data Center และ Fan & Thermal management น่าจะทรงตัวถึงอ่อนลงเล็กน้อย จบปี 2023 คาดรายได้สกุล USD +25% y-y ทำ New High ได้ตามเป้าบริษัท ยังไม่เห็น Upside ต่อประมาณการกำไรปี 2024 จึงยังคงไว้ตามเดิม +19% y-y คงราคาเป้าหมายปี 2024 ที่ 70 บาท ยังคำแนะนำ “ขาย”

(0) KTC คาดว่ากำไรสุทธิ 4Q23 ที่ 1.75 พันลบ. -5.7% q-q, +5% y-y โดย q-q ชะลอตัวจากค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น แต่ปรับขึ้น y-y ตามการเติบโตของสินเชื่อช่วง High season ด้านคุณภาพสินทรัพย์จะมีแรงกดดันต่อเนื่องใน 4Q23 คาด NPLs จะะอยู่ที่ 2.49% เพิ่มขึ้นจาก 2.33% ใน 3Q23 ในขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลน่าจะมีแรงดันขึ้นเล็กน้อยตามแนวโน้มอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามคาดกำไร 1Q24 จะฟื้นตัวโดยได้ปัจจัยหนุนจากความต้องการที่อั้นอยู่หลังรัฐบาลออกมาตรการ Easy E-Receipt คงประมาณการกำไรปี 2023 +2.9% y-y และปี 2024 +8.6% y-y ราคาเป้าหมาย 49 บาท คงคำแนะนำเพียง “ถือ”

(0) SCGP แนวโน้มกำไร 4Q23 ต่ำกว่าที่เราเคยคาดเพียงเล็กน้อย 2% ไม่มีนัยสำคัญ การฟื้นตัวยังค่อยเป็นค่อยไป ใน 4Q เป็น low season ในไทยและอินโดนีเซีย แต่เป็น high season ของเวียดนาม สถานการณ์การแข่งขันด้านราคาในอินโดนีเซียดีขึ้น เริ่มเห็นราคาขายของ packaging paper เดือน ต.ค. ขยับขึ้น 5% จากจุดต่ำสุดใน 3Q23 จีนเริ่มกลับมานำเข้าสินค้าเราคาดกำไร 4Q23 ที่ 1.44 พันลบ. +2% q-q, +67% y-y ทำให้กำไรทั้งปีเป็น 5.29 พันลบ. -8% y-y (เดิมคาด -6% y-y) เราคงประมาณการกำไรปี 2024-25 +28% y-y และ +17% y-y ตามลำดับจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการบริโภคในประเทศต่าง รวมถึง Fajar ใน อินโดนีเซียที่คาดว่าจะค่อยๆขาดทุนลดลงและเริ่มมี EBITDA เป็นบวกราวกลางปีนี้ ยังคงราคาเป้าหมาย 48 บาท แนะนำ “ซื้อ”

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 157.85 จุด หรือ -0.42% ปิดที่ 37,525.16 จุด โดยตลาดถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินทั้งขนาดและช่วงเวลาที่เฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ พร้อมกับจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์นี้

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยง หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้น แม้หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ซึ่งปรับตัวขึ้นได้ช่วยลดช่วงติดลบของตลาดก็ตาม

(-) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลบ เป็นส่วนใหญ่ นำโดยตลาดเกาหลีใต้ จากรายงานอัตราว่างงานที่สูงสุดในรอบ 23 เดือน

(-) ค่าเงินบาทแข็งค่าเล็กน้อย อยู่ที่บริเวณ 34.95 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.03%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 1.47 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 72.24 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าวิกฤตการณ์ในตะวันออกกลางและการที่สิเบียยังคงปิดบ่อน้ำมันขนาดใหญ่นั้น จะส่งผลกระทบ ต่ออุปทานน้ำมัน ในขณะที่เช้านี้ปรับตัวขึ้นอยู่ที่ระดับ 72.35 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.15%

(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 50 เซนต์ หรือ 0.02% ปิดที่ 2,033.00ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์เป็นปัจจัยกดดันตลาด ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟด ในขณะที่เช้านี้ปรับตัวขึ้นที่ระดับ 2,035.70ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ +0.13%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 869.60/ –

- Advertisement -