KS Daily View 10.01.2024 >>> ความเสี่ยง rollover หุ้นกู้ในประเทศ อาจทำให้นักลงทุนกลับสู่โหมด risk-off คาด SET แกว่งตัวลงในกรอบ 1,410-1,425 จุด หุ้นแนะนำ KAMART

สรุปภาวะตลาดเมื่อวานนี้

ต่างประเทศ : ดัชนี DJIA +0.58%, S&P 500 +1.41%, NASDAQ +2.20%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ IT (+2.77%), Consumer Discretionary (+1.77%), Communication Services (+1.74%) ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่ Energy (-1.16%) เป็นต้น

ในประเทศเมื่อวันจันทร์: SET Index -3.52 จุด หรือ -0.25% ปิดที่ 1,414.93 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ SJWD (+2.16%), TU (+2.05%), TTB (+1.84%), MEGA (+1.81%) เป็นต้น ส่วนหุ้นที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ RCL (-9.63%), VGI (-5.56%), OSP (-4.87%), MOSHI (-3.41%) เป็นต้น

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:

คาดดัชนีแกว่งตัวลงในกรอบ 1,410-1,425 จุด จากความเสี่ยงเรื่องการ rollover หุ้นกู้ในประเทศเพิ่มหลัง บจก.สยามนุวัตร (SNW) เรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้ วันที่ 23 ม.ค. 2567 นี้ เพื่อขอเลื่อนจ่ายหุ้นกู้ครบดีลปีนี้ทั้ง 3 รุ่น มูลหนี้ 520 ล้านบาท ไปอีก 1 ปี ต่อจาก ITD ขณะที่ตลาดกำลังรอรอประเมินตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ คืนวันพฤหัสฯนี้ ซึ่งหากเงินเฟ้อออกมาทรงตัวในระดับสูง อาจทำให้ตลาดปรับคาดการณ์เรื่องจังหวะเวลา และขนาดการลดดอกเบี้ยของเฟดได้เช่นกัน จากความไม่สอดคล้องกันที่เพิ่มขึ้นระหว่างความคาดหวังของตลาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในลักษณะเชิงรุกกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดสถานการณ์ “Goldilocks แบบย้อนกลับ” อาจทำให้นักลงทุนกลับสู่โหมด risk-off และมีขายทำกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมา

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1.) ราคา Bitcoin แกว่งตัวผันผวนรุนแรง หลัง กลต. สหรัฐฯ ออกมาปฎิเสธว่ายังไม่ได้อนุมัติจัดตั้ง Bitcoin ETFs จากเมื่อคืนที่บัญชีของ กลต. สหรัฐฯใน X (Twitter) ถือแฮกพร้อมปล่อยข่าวเท็จว่าทางกลต.สหรัฐฯได้อนุมัติจัดตั้ง Bitcoin ETFs ที่ขอจดทะเบียนทั้งหมด

2.) ความเสี่ยงเรื่องการ rollover หุ้นกู้ในประเทศเพิ่มหลัง บจก.สยามนุวัตร (SNW) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวสูง เรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้ วันที่ 23 ม.ค. 2567 นี้ เพื่อขอเลื่อนจ่ายหุ้นกู้ครบดีลปีนี้ทั้ง 3 รุ่น มูลหนี้ 520 ล้านบาท ไปอีก 1 ปี เป็นปี 2568 จากก่อนหน้าที่ ITD ขอประชุมผู้ถือหุ้นกู้วันที่ 17 ม.ค. 2567เพื่อเลื่อนจ่ายหุ้นกู้ครบดีลเช่นกัน ดังนี้มองว่าอาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาด โดยเฉพาะในบริษัทที่มีอันดับเครดิตเร็ตติ้งต่ำกว่า BBB ลงมา หรือเป็นประเภท Non-rate

3.) ติดตาม บลจ.กสิกรไทยจะแถลงข่าวเปิดตัว Strategic partnership เพื่อความร่วมมือการลงทุนระดับโลกในวันนี้ เวลา 10.00 น.

4.) ติดตาม นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน จะพบปะกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ประมาณ 13.00 น. เพื่อหารือประเด็นสำคัญ ๆ คาดเป็นเรื่องดอกเบี้ยนโยบาย และโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล

5.) นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มการผลิตรถยนต์ในไทยปีนี้ มีโอกาสที่จะแตะระดับ 2 ล้านคันหากมีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ภายในประเทศ และจะส่งผลต่อการส่งออกให้เพิ่มขึ้น

Theme การลงทุนสัปดาห์นี้

ปรับกรอบการเคลื่อนไหวของหุ้นไทยรายสัปดาห์เป็น 1,400-1,444 จุด จากเดิมที่ 1,414-1,444 จุด จากปัจจัยฉุดเรื่องตลาดหุ้นกู้ในประเทศ โดยปัจจัยสำคัญที่จะต้องติดตามคือ ความคืบหน้าโครงการกู้เงินเพื่อทำดิจิตอลวอลเล็ต รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯเดือนธันวาคม ซึ่งยังทรงตัวสูง โดยเฉพาะ Core CPI ที่คาดขยายตัว 0.3% MoM และ 4.0% YoY และตัวเลขตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง ทำให้เฟดไม่จำเป็นต้องรีบลดดอกเบี้ย สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆที่ต้องติดตาม ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐฯ เดือนธ.ค. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวน และดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือน ธ.ค. ของจีน เป็นต้น

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

  • KAMART (ราคาพื้นฐาน 16.39 บาท) ภาพระยะสั้น คาดได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ E-Receipt 2567 สำหรับภาพระยะกลาง-ยาว เราคาด KAMART จะบรรลุเป้ายอดขายปี 2566 ที่ 2.5 พันลบ. ขณะที่ตั้งเป้ารายได้ปี 2569 ที่ 4 พันลบ. จากการเติบโตของธุรกิจเครื่องสำอางที่มีอยู่และธุรกิจภายนอก คาดกำไรปกติ 4Q66 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 154 ลบ. (+77% YoY) ปรับสมมติฐานกำไรปี 2566-68 ขึ้น 6.4%/12.2%/20.4% จากรายได้และแนวโน้ม GPM ที่ดี

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันพุธ ติดตาม ตัวเลขค่าจ้างแรงงาน (Average cash earnings) ของญี่ปุ่นสำหรับเดือนพ.ย. ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 1.5% YoY ทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 1.5% YoY และต่อด้วยตัวเลขการปล่อยสินเชื่อของจีนสำหรับเดือนธ.ค.ตลาดคาดขยายตัวที่ 10.2% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 10.0% YoY
  • วันพฤหัสบดีฯ ติดตาม ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Consumer price index) ของสหรัฐฯสำหรับเดือนธ.ค. ตลาดคาดที่ 3.0% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 3.1% YoY และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ของสหรัฐฯสำหรับเดือนธ.ค. ตลาดคาดที่ 4.0% YoY ทรงตัวเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 4.0% YoY
  • วันศุกร์ ติดตาม ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Consumer price index) ของจีนสำหรับเดือนธ.ค. ตลาดคาดที่ -0.7% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -0.5% YoY ต่อด้วยตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยสำหรับเดือนธ.ค. ตลาดคาดที่ 61.0 เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 60.9
- Advertisement -