บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

SCG Packaging (SCGP)

คาดกำไร 4Q66 ฟื้นตัว YoY และ QoQ

Action TRADING (Maintain)

TP upside (downside) +9.3%

Close Jan 9, 2024 Price (THB) 35.00

12M Target (THB) 38.25

Previous Target (THB) 38.25

What’s new?

  • คาดกำไรปกติ 4Q66 ที่ 1,349 ล้านบาท เติบโตทั้ง YoY และ Q0Q หลังได้แรงหนุนจากปริมาณขายรวมที่คาดฟื้นตัวตามระดับการบริโภคในอินโดนีเซีย และอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดขยายตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 17.8%
  • เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 1Q67 ที่ระดับ 1,400 ล้านบาท +/- ฟื้นตัว YoY จากฐานที่ต่ำ หลังปริมาณขายรวมและอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัว ขณะที่ QoQ คาดสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่องตามปัจจัยฤดูกาล

Our view

  • คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 38.25 บาท/หุ้น (อิง EVEBITDA ที่ 10.9 เท่า) มี Upside +9.3%
  • เรามองว่าการฟื้นตัวของราคาหุ้นในระยะสั้น-กลางจะยังคงถูกจำกัด จากความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน (ผลจากการยื่นล้มละลายของธนาคารเงา) และสถานการณ์ในทะเลแดง (อาจส่งผลให้ต้นทุนค่าขนส่งทรงตัวอยู่ในระดับสูง) รวมถึงการใช้ Put Option ของผู้ถือหุ้นเดิมเพื่อขายหุ้นของบริษัท Fajar ให้กับ SCGP เพิ่มเติม
  • คงคำแนะนำ “TRADING”

คาดกำไร 4Q66 ฟื้นตัวหลังได้แรงหนุนจากธุรกิจในอินโดนีเซีย

คาดกำไรปกติ 4Q66 ที่ 1,349 ล้านบาท เติบโต +115% YoY หลังได้แรงหนุนจาก 1) คาดปริมาณขายบรรจุภัณฑ์รวมพื้นตัวราว +5% YoY จากฐานที่ต่ำในปีก่อน (ผลจากการที่จีนผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ใน 1Q66) และ 2) คาดอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 17.8% ฟื้นตัวจาก 14.6% หลังต้นทุนพลังงานเริ่มปรับตัวลงและวัตถุดิบที่บริษัทฯ ซื้อมาในราคาสูงหมดลงในช่วง 1H66 (ทำให้ราคาขายมีความสอดคล้องกับต้นทุนมากขึ้น) ขณะที่ QoQ คาดกำไรปกติสามารถเติบโตได้เล็กน้อย +3% QoQ แม้มีแรงกดดันปัจจัยฤดูกาลเพราะ 1) อุปสงค์บรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซียที่เร่งตัวขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงของการหาเสียงเลือกตั้ง (จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 ก.พ. 2567) สามารถชดเชยผลกระทบจากปัจจัยฤดูกาลได้และ 2) คาดอัตรากำไรขั้นต้นสามารถทรงตัวได้ QoQ แม้ต้นทุนถ่านหินปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากราคาขายที่ปรับตัวสูงขึ้นสามารถชดเชยผลกระทบได้ หากกำไรปกติ 4Q66 ออกมาใกล้เคียงคาด กำไรปี 2566 จะคิดเป็นสัดส่วน 98% ของประมาณการของเรา

แนวโน้มกำไร 1Q67 ฟื้นตัวต่อ…แต่ยังไม่กลับสู่ระดับเดิมในปี 2563-64

เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 1Q67 ที่ระดับ 1,400 ล้านบาท +/- ฟื้นตัว YoY แม้มีแรงกดดันจากต้นทุนค่าขนส่งระหว่างประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น (ผลจากสถานการณ์ในทะเลแดง) เพราะได้แรงหนุนหลักจาก 1) ปริมาณขายรวมที่ฟื้นตัวหลังได้แรงหนุนจากระดับการบริโภคในไทยและอินโดนีเซียที่เร่งตัวขึ้น จากผลของนโยบาย Easy e-Receipt ของไทยและการเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งของอินโดนีเซีย และ 2) อัตรากำไรขั้นต้นที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 17.8-18.0% จาก 17.6% ในช่วง 1Q66 หลังต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานปรับตัวลง ขณะที่ QoQ คาดกำไรปกติสามารถพื้นตัวได้ต่อเนื่องจาก 1) การ Build Stock ของผู้ผลิตในไทยและอินโดนีเซียเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการบริโภคในช่วงเทศกาลสงกรานต์ (เม.ย.) และรอมฎอน (มี.ค.) ตามลำดับ และ 2) อัตรากำไรขั้นต้นที่มีโอกาสขยายตัวเล็กน้อย QoQ หลังต้นทุนพลังงานมีแนวโน้มปรับตัวลง

ในระยะสั้น-กลางยังคงถูกกดดันจากปัจจัยมหภาคและปัจจัยเฉพาะตัว

คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 38.25 บาท/หุ้น (อิง EVIEBITDA ที่ 10.9 เท่า) มี Upside +9.3% แม้ผลประกอบการของบริษัทฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่เรามองว่าการฟื้นตัวของราคาหุ้นในระยะสั้น-กลางจะยังถูกกดดันจาก 1) ความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนในระยะสั้น-กลางหลังบริษัทจงจื่อ เอนเตอร์ไพรส์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นธนาคารเงาที่ใหญ่ที่สุดของจีนยื่นล้มละลายต่อศาล 2) ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในทะเลแดงอาจส่งผลให้ต้นทุนค่าขนส่งระหว่างประเทศทรงตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง (กดดันทั้งต้นทุนวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายในการขายของบริษัทฯ) และ 3) การใช้สิทธิ Put Option ในการขายหุ้นบริษัทบรรจุภัณฑ์ Fajar ในอินโดนีเซียส่วนที่เหลืออีก 44.5% (มูลค่าราว 2.3 หมื่นล้านบาท) ของผู้ถือหุ้นเดิมให้กับ SCGP (คาดมีความชัดเจนในช่วง 2Q67) จึงคงคำแนะนำ “TRADING”

- Advertisement -