KS Daily View 17.01.2024 >>> ติดตามการโหวตหุ้นกู้ ITD และงบธนาคาร คาด SET วันนี้แกว่งตัวในกรอบ 1,400-1,410 จุด หุ้นแนะนำ BDMS, TU
สรุปภาวะตลาดเมื่อวานนี้
ต่างประเทศ : ดัชนี DJIA -0.62%, S&P 500 -0.37%, NASDAQ -0.19%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ IT (+0.395) ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่ Energy (-2.40%), Materials (-1.19%), Utilities (-1.05%) เป็นต้น
ในประเทศเมื่อวันจันทร์: SET Index -5.30 จุด หรือ -0.38% ปิดที่ 1,401.72 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ TKN (+5.76%), GULKUL (+3.47%), TRUE (+2.94%), RCL (+1.96%) เป็นต้น ส่วนหุ้นที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ TIDLOR (-4.24%), RBF (-2.92%), ERW (-2.89%), CBG (-2.87%) เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
คาดดัชนีแกว่งตัวลงในกรอบ 1,400-1,410 จุด และมีแนวรับถัดไปที่ 1,375 จุด ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับฐานหลัง Fed Governor Christopher Waller ไม่เห็นด้วยที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยมากถึงหกครั้งในปีนี้ ประเด็นดังกล่าวสอดคล้องกับมุมมองของเราว่าตลาดในช่วงครึ่งปีแรกว่าตลาดหุ้นจะเข้าสู่ช่วงพักฐานจากภาวะ Reverse Goldilock บนความไม่สอดคล้องกันที่เพิ่มขึ้นระหว่างความคาดหวังของตลาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในลักษณะเชิงรุกกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือกล่าวโดยสรุปคือถ้าเฟดลดดอกเบี้ยน้อยกว่าคาดหุ้นก็ลง หรือถ้าเฟดลดดอกเบี้ยเยอะๆ แสดงว่าเศรษฐกิจต้องเข้าสู่ภาวะถดถอยก็ไม่ดีกับตลาดหุ้น อาจทำให้นักลงทุนกลับสู่โหมด risk-off และมีขายทำกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมา
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.) นักลงทุนในตลาดปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. ลงเป็น 67% จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 80% หลัง Fed Governor Christopher Waller ไม่เห็นด้วยที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยมากถึงหกครั้งในปีนี้ โดยมองว่าเฟดต้องมีความระมัดระวังในการดำเนินนโยบายเพื่อให้มั่นใจว่าเงินเฟ้อจะกลับมาเร่งตัว และค่อยๆปรับลดลงสู่เป้าหมายของเฟด นอกจากนี้เขามองว่าการลดดอกเบี้ยรอบนี้ของเฟดจะไม่ลดเร็ว หรือลดครั้งละมากๆเหมือนในอดีต ถ้อยแถลงดังกล่าวส่งผลให้ S&P 500 ปรับตัวลง -0.37%, Bond yield 10 ปีของสหรัฐฯ ดีดตัว 12bps. เป็น 4.06%, ราคาทองคำปรับตัวลง 0.9%, ราคาน้ำมันลดลง -0.5% และค่าเงิน USD แข็งค่าขึ้น 0.9% เป็น 103.35
2.) ติดตามการโหวตเพื่อขอเลื่อนชำระหุ้นกู้ทุกรุ่นของ ITD ไปอีก 2 ปี ในวันที่ 17 ม.ค. เวลาบ่ายสองโมง โดยต้องการเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของที่ประชุมในแต่ละรุ่น
3.) สภา กทม.สางปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว นัดประชุมพิจารณาหนี้ติดตั้งระบบส่วนต่อขยาย 2.3 หมื่นล้านบาท ลุ้นเคาะจบควักเงินสะสม กทม.จ่ายทันทีภายใน 2 เดือน มองข่าวดังกล่าวเป็น sentiment เชิงบวกต่อหุ้น BTS
4.) ติดตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีกำหนดประกาศแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวในเวลาเที่ยงวันนี้
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,400-1,425 จุด ในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตามหากหลุดแนวรับดังกล่าว ประเมินแนวรับถัดไปที่ 1,375 จุด โดยปัจจัยสำคัญที่จะต้องติดตามคือ ความคืบหน้าของ พรบ.กู้เงิน 5 แสนลบ. เพื่อทำดิจิตอลวอลเล็ต ซึ่งล่าสุดฐานเศรษฐกิจรายงานข่าวว่ารัฐบาลอาจยุติการออก พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว และหันไปใช้ พรบ. งบประมาณปี 2568 แทนพร้อมลดวงเงินเหลือ 3 แสนล้านบาท จากหนังสือตอบกลับของกฤษฎีการะบุเงื่อนไขข้อจำกัดทางกฎหมาย รวมถึงการประกาศผลประกอบการ 4Q23 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ของไทย ในส่วนของตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและยอดขายบ้านมือสองเดือน ธ.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน ธ.ค. ของญี่ปุ่น ยูโรโซนและอังกฤษ รวมถึงตัวเลขจีดีพี 4Q23 และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนธ.ค. ของจีน
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
- BDMS (ราคาพื้นฐาน 32.60 บาท) เราคาดว่า BDMS จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2566 ที่ดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบตามฤดูกาลที่น้อยลง (-6% QoQ) แต่เติบโต 17% YoY ได้รับแรงหนุนจากการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ที่ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4/2566 จากไตรมาส 3/2566 ขณะที่คาดว่ารายได้จากผู้ป่วยต่างชาติทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ 6.9 พันลบ. เพิ่มขึ้น 5% QoQ และ 14% YoY ทั้งนี้ราคาหุ้น BDMS ยัง underperform หุ้นขนาดใหญ่อื่นๆในกลุ่มโรงพยาบาลโดยปรับตัวลง -3.5% จากต้นปี 2023 เทียบ BH และ BCH ที่ปรับตัวขึ้น 11.8% และ 9.8% จากต้นปี 2023 ตามลำดับ
- TU (ราคาพื้นฐาน 16.70 บาท) การตัดสินใจออกจากการลงทุนใน Red Lobster (RL) ที่ขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จะไม่รับรู้ผลการดำเนินงานของ RL อีกต่อไปตั้งแต่ไตรมาส 1/67 ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 2567-68 ของบริษัทเพิ่มขึ้น 10% และ 8% เป็น 7.5 พันลบ. และ7.9 พันลบ. ตามลำดับ แม้บริษัทจะต้องบันทึกด้อยค่าของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดจำนวน 1.85 หมื่นลบ.ในไตรมาส 4/66 เราเชื่อว่าการตัดสินใจนี้จะส่งผลเชิงบวกต่อ TU ในอนาคต ขณะเดียวกัน TU เผยโครงการซื้อหุ้นคืนสูงสุดไม่เกิน 3.6 พันลบ. ตั้งเป้าไม่เกิน 200 ล้านหุ้น หรือ 4.3% ของหุ้นที่ชำระแล้ว ระยะเวลาการซื้อหุ้นคืนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. 2567 ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2567 โดยราคาซื้อหุ้นคืนเฉลี่ยจะไม่เกิน 18 บาท/หุ้น
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันพุธติดตาม ตัวเลข GDP ของจีน สำหรับไตรมาส 4/66 ตลาดคาดขยายตัว 5.3% YoY เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัว 4.9% YoY และตัวเลขดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial production) ของจีนสำหรับเดือน ธ.ค. ตลาดคาดที่ 6.3% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 6.6% YoY ต่อด้วยติดตามดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของยุโรป (Headline CPI) สำหรับเดือน ธ.ค. ตลาดคาดที่ 2.9% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 2.4% YoY และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของยุโรป (Core CPI) สำหรับเดือน ธ.ค. ตลาดคาดที่ 3.4% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 3.6% YoY ช่วงข้ามคืนติดตามตัวเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ (Retail sales) สำหรับเดือน ธ.ค. ตลาดคาดขยายตัว 4.0% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 4.1% YoY
- วันพฤหัสบดีฯ ติดตาม ตัวเลขอนุญาตสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ (Building permits) ของสหรัฐฯ สำหรับเดือน ธ.ค. ตลาดคาดที่ 1.48 ล้านยูนิต เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 1.467 ล้านยูนิต ต่อด้วยตัวเลขสร้างบ้านใหม่ (Housing starts) ของสหรัฐฯ สำหรับเดือน ธ.ค. ตลาดคาดที่ 1.415 ล้านยูนิต เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 1.56 ล้านยูนิต และติดตามตัวเลขดัชนีภาคการผลิต (Philly Fed manufacturing index) ของสหรัฐฯสำหรับเดือน ม.ค. ตลาดคาดที่ -5.0 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -10.5 จุด
- วันศุกร์ ติดตาม การให้สัมภาษณ์ของประธานธนาคารกลางยุโรป นาง Christine Lagarde ที่มีกำหนดการให้สัมภาษณ์ในเวทีงาน World Economic Forum ที่ Davos ในประเด็น The Global Economic Outlook และติดตามตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นของสหรัฐฯ (Prelim UoM consumer sentiment) สำหรับเดือน ม.ค. ตลาดคาดที่ 68.8 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 69.7 จุด