บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Thai Union Group (TU)

เลิก Red Lobster … เจ็บแต่จบ

Action BUY (Maintain)

TP upside (downside) +21.9%

Close Jan 16, 2024 Price 14.60

12M Target 17.80

Event

  • บริษัทแจ้งตลท. 2 เรื่อง 1) ถอนการลงทุนในธุรกิจ Red Lobster ทั้งหมด (หุ้นสามัญสัดส่วน 25% และหุ้นบุริมสิทธิ 24%) และ 2) ประกาศซื้อหุ้นคืนจำนวนไม่เกิน 200 ล้านหุ้น มูลค่าไม่เกิน 3,600ลบ. ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. – 30 มิ.ย. 2567 เรามีมุมมองเป็นลบในระยะสั้น แต่เป็นบวกในระยะยาว

Our Take

  • ผู้บริหารมองว่าธุรกิจ Red Lobster (RL) ยังมีผลการดำเนินงานขาดทุนอย่างต่อเนื่อง และมีความเสี่ยงด้านการเงินที่มีโอกาสต้องเพิ่มทุนอีก ซึ่งไม่สอดคล้องกับแผนการจัดสรรเงินลงทุน และแผนการดำเนินธุรกิจในระยะยาวของ TU จึงถอนการลงทุนทังหมดจาก RL เพื่อตัดผลขาดทุนต่อเนื่องดังกล่าวที่เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ราว 900 ลบ./ปี ซึ่งจะไม่ต้องรับรู้ตังแต่ 1Q67 เป็นต้นไป
  • โดยระหว่างที่บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาช่องทางในการถอนการลงทุนนี้ บริษัทจะบันทึกรายการด้อยค่าทางบัญชี (Non-Cash Impairment ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในงบกำไรขาดทุนงวด 4Q66 จำนวนราว -18,500 ลบ. (มูลค่าหุ้นสามัญที่ 2,900 ลบ. และหุ้นบุริมสิทธิที่ 15,600 ลบ.) ทำให้เป็น Downside ต่อผลประกอบการปี 2566 ของ TU คาดจะมีผลขาดทุนสุทธิที่ราว +/- 14,000 ลบ.และจะกลับรายการเป็นกำไร เมื่อสามารถจำหน่ายเงินลงทุนดังกล่าวได้ตามมูลค่าที่บริษัทจำหน่าย (เบื้องต้นยังไม่มี Potential Bidder)
  • นอกจากนี้การถอนเงินลงทุนดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการดำเนินงานทางธุรกิจของ TU โดย TU จะยังเป็น Supplier วัตถุดิบหลักให้กับร้าน Red Lobster ตามเดิมในด้านฐานะการเงินของบริษัทมองกระทบจำกัด คาด Net D/E Ratio จะปรับขึ้นเป็น 0.84 เท่าเทียบจากช่วงก่อนทำรายการของบริษัทที่ราว 0.65 เท่า ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า Covenant Ratio ที่ 2.0 เท่า
  • ในด้านฐานะการเงินของบริษัทมองกระทบจำกัด คาด Net D/E Ratio จะปรับขึ้นเป็น 0.84 เท่าเทียบจากช่วงก่อนทำรายการของบริษัทที่ราว 0.65 เท่า ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า Covenant Ratio ที่ 2.0 เท่า
  • อย่างไรก็ตามผลขาดทุนสุทธิของงบปี 2566 ที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้บริษัทไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของหุ้นกู้จำนวน 2 ชุดที่ต้องดำรง Interest Coverage Ratio (ICR) ห้ามเกิน 3.0x และ 5 ชุดที่กำหนดห้ามจ่ายปันผลเกิน 60% ของกำไรสุทธิ ทำให้มีความเสี่ยงที่อาจไม่มีปันผลจ่ายงวด 2H66 ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขอมาตรการผ่อนผันเงื่อนไขทั้ง 2 ข้อกับผู้ถือหุ้นกู้ให้ทันก่อนการประกาศงบในเดือน ก.พ. นี้ นอกจากนี้จะมีความเสี่ยงที่อาจถูก Downgrade Credit Rating ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อเนื่อง
  • การด้อยค่าที่ 18,500 ลบ. คิดเป็นสัดส่วน 24.5% ของ Book value ของบริษัท และคิดเป็นมูลค่า 3.97 บาท/หุ้น ประเมินว่าจะเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้นต่อราคาหุ้น แต่ในระยะยาวการที่ไม่ต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจาก RL จะทำให้ประมาณการกำไรปี 2567 ของเรามี Upside ราว 5% เป็น 6,390 ลบ. และทำให้ราคาเป้าหมายของเรามีโอกาสปรับขึ้นเป็น 18.60 บาท จากเดิมที่ 17.80 บาท
  • เชิงพื้นฐานเบื้องต้นเรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเหมาะสมไว้ตามเดิมที่ 17.80 บาท แต่เชิงกลยุทธ์คาดราคาหุ้นตอบรับเชิงลบก่อนจากมูลค่าการด้อยค่าเงินลงทุนที่สูง สำหรับการลงทุนระยะสั้นแนะนำชะลอการลงทุน หรือหากมีสถานะอาจพิจารณาลดน้ำหนัก เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้งช่วงหลังงบ 4Q66 ออก ส่วนการลงทุนในระยะยาวให้รอสะสมเพิ่มเพื่อถัวเฉลี่ยเมื่อราคาหุ้นสร้างฐานหรือหลังงบออกเช่นกัน
- Advertisement -