บล.บัวหลวง:
Ngern Tid Lor (TIDLOR TB /TIDLOR.BK)
TIDLOR – ความเสี่ยง/ผลตอบแทนดีที่สุดในกลุ่มการเงินรายย่อย
เราคาด TIDLOR จะรายงานการเติบโตของกำไรที่เร็วที่สุดในปี 2567 ในกลุ่มการเงินรายย่อยที่เราให้คำแนะนำ ซึ่งหนุนจากการขยายตัวของสินเชื่อ นอกจากนี้ คุณภาพสินทรัพย์ยังแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มฯ ที่เราให้คำแนะนำ และมูลค่าหุ้นยังคงน่าสนใจ ซื้อ!
ความเสี่ยง/ผลตอบแทนดีที่สุดในกลุ่มการเงินรายย่อย
PER ปี 2567 ของ TIDLOR อยู่ที่ 14.6 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 2.5 ปีอยู่ 1.4 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนใน SET) แต่ประมาณการ EPS CAGR ปี 2567-68 อยู่ที่ 17% ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน PEG ที่ 0.9 เท่า (ต่ำกว่าอัตราส่วน PEG เฉลี่ยของ TIDLOR ปี 2564-2565 ที่ 1.1 เท่า และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มการเงินรายย่อยที่เราให้คำแนะนำที่ 1.0 เท่า) PBV ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 1.9 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 2.5 ปีอยู่ 1.9 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน)
คุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มดีขึ้นในปี 2567
เราคาดว่าคุณภาพสินทรัพย์ของ TIDLOR จะแข็งแกร่งขึ้นในปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของ GDP ที่เร็วขึ้น และการคัดกรองการสมัครสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น (ตั้งแต่ปี 2566) เราคาดการเติบโตของ GDP ไทยปี 2567 อยู่ที่ 3.4% YoY หนุนโดยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและการฟื้นตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค เรามองว่าสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมของ TIDLOR จะลดลงภายในสิ้นปี 2567 ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนก.ย. 2566บริษัทรายงานอัตราส่วนการตั้งสำรองต่อนนี้เสียสูงที่สุดในกลุ่มการเงินราย ย่อยที่เราให้คำแนะนำที่ 264.4% ซึ่งบ่งบอกถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี
สินเชื่อและรายได้ค่าคอมมิชชั่นจากการขายประกันหนุนการเติบโตของกำไรสุทธิไตรมาส 4/66 YoY
เราคาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/66 ที่ 918 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% YoY (การเติบโตของสินเชื่อและรายได้ค่าคอมมิชชั่นการขายประกันภัยมีแนวโน้มกลบผลกระทบของ NIM ที่ลดลงและการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น) แต่ลดลง 9% QoQ (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาลและอัตราการตั้งสำรองที่สูงขึ้น) เราคาดการเติบโตของสินเชื่อในไตรมาสนี้อยู่ที่ 19% YoY และ 5% QoQ หนุนโดยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ เราคาดรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยรวม 1.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% YoY และ 22% QoQ หนุนโดยค่าคอมมิชชั่นจากการขายประกัน การเติบโตของสินเชื่อและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยจะกลบผลกระทบของ NIM ที่ลดลงมาที่ 15.64% (ลดลง 42bps YoY และ 7bps QoQ เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น)
เราคาดอัตราการตั้งสำรองในไตรมาสนี้อยู่ที่ 3.50% เพิ่มขึ้น 21bps YoY และ 46bps QoQ เนื่องจากเราคาดว่า TIDLOR จะตั้งสำรองเพิ่มขึ้น เนื่องจากตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยบางประการ (หนี้ครัวเรือนที่สูง อัตราดอกเบี้ยที่มีอยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงที่มากขึ้น ของผลขาดทุนจากการขายรถยนต์ที่ถูกยึด) เพื่อหนุนอัตราส่วนการตั้งสำรองต่อนนี้เสีย สัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมควรอยู่ที่ 1.50% ในปี 2566 โดยพื้นฐานแล้วไม่เปลี่ยนแปลงจากปลายเดือน ก.ย. 2566
แนวโน้มการเติบโตของกำไรที่เร็วที่สุดในปี 2567 ในกลุ่มการเงินรายย่อย
เราคาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% YoY และ 17% QoQ หนุนจากคาดการณ์การเติบโตของสินเชื่อที่ 20% YoY และ 4% QoQ ซึ่งจะกลบผลกระทบของ NIM ที่ลดลง QoQ ที่ 15.49% (เพิ่มขึ้น 4bps YoY จากอัตราผลตอบแทนสินเชื่อที่สูงขึ้น แต่ลดลง 15bps QoQ เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น) เมื่อมองไปยังปี 2567 เราคาดกำไรสุทธิที่ 4.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% YoY ซึ่งเป็นการเติบโตที่เร็วที่สุดในกลุ่มการเงินรายย่อยที่เราให้คำแนะนำ หนุนโดยการขยายตัวของสินเชื่อที่ 16% YoY และรายได้ค่าคอมมิซชั่นจากการขายประกันที่สูงขึ้น