บล.ฟินันเซีย ไซรัส: 

SCG PACKAGING (SCGP TB)

การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพมีส่วนช่วย

  • กำไรปกติ 4Q23 (-7% q-q, +53% y-y) ต่ำกว่าที่เราคาดเล็กน้อย ส่วนมากจากรายได้ที่โตช้ากว่าคาด
  • การบริหารต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมความสามารถในการกระจายแหล่งวัตถุดิบมีส่วนช่วยอัตรากำไร
  • คงคำแนะนำซื้อจากการประเมินมูลค่าที่อยู่ในระดับต่ำ

กำไรปกติ 4Q23 -7% q-q แต่ +53% y-y

เมื่อหักผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 100 ลบ. SCGP รายงานกำไรปกติอยู่ที่ 1.3 พันลบ. ใน 4Q23 (-7% q-q, +53% y-y) ซึ่งทำให้ได้กำไรปกติปี 2023 อยู่ที่ 5.2 พัน ลบ. ลดลง 10% y-y และต่ำกว่าที่เราคาด 2% ใน 4Q23 ความต้องการบรรจุภัณฑ์พื้นตัวช้า โดยเพิ่มขึ้นเพียง 1% q-q (แต่ยังลดลง 5% y-y) ส่วนมากจากปริมาณขายที่ปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่ปัจจัยกดดันด้านราคายังมีอยู่ แม้เราจะสามารถพูดได้ว่าการดำเนินงานปกติโดยรวมของ SCGP ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 3Q23 ชัดเจนว่าเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นในปี 2023 บั่นทอนอำนาจในการซื้อของผู้บริโภคไปบางส่วน การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ก่อให้เกิดแรงกดดันต่อราคาขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมกระดาษสำหรับบรรจุภัณฑ์ของอินโดนีเซีย

การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพมีบทบาทสำคัญใน 4Q23

อย่างไรก็ดี EBITDA ใน 4๐23 ปรับตัวดีขึ้น 4% q-q และ 13% y-y เป็น 4.5 พัน ลบ. จากการบริหารต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมความสามารถในการกระจายแหล่งวัตถุดิบในปี 2023 EBITDA หดตัว 8% y-y จากรายได้ที่ลดลง 11% y-y กำไรปกติปี 2023 หดตัว 10% y-y จากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 38% y-y อย่างไรก็ดี EBITDA margin ในปีดังกล่าวเพิ่ม 50bps เป็น 13.7% จากประสิทธิผลในด้านต้นทุนเชิงรุก

สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในหลายพื้นที่

เราคงประมาณการกำไรไว้ที่ 6.8พัน ลบ. (+31% y-y) ในปี 2024 และ 7.9 พัน ลบ. (+17% y-y) ในปี 2025 แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวช้าและต้นทุนค่าระวางจะปรับขึ้น เราคาดว่ากำไรจะโตจากสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในหลายพื้นที่ โดยจะได้ปัจจัยหนุนจากเงินเพ้อและต้นทุนพลังงานที่ลดลง นอกจากนี้การควบรวมและซื้อกิจการตลอดปี 2023 อันประกอบด้วย Duy Tan, Intan group, Deltalab, Peute, Jordan, Law Print, และ Bicappa พร้อมการขยายกำลังการผลิตภายในของ SCGP ก็น่าจะเห็นผลในระยะยาว

การประเมินมูลค่าอยู่ในระดับต่ำ คงคำแนะนำซื้อ

เราคงคำแนะนำซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 48.0 บาท (DCF, 9.8% WACC, 3.5% LTG) ซึ่งคิดเป็น 15x ของค่า 2024E EV/EBITDA ปัจจุบันราคาหุ้นมีการซื้อขายที่เพียง 9.4x ของค่า 2024E EV/EBITDA (-1.6 SD ของค่าเฉลี่ย 4 ปีย้อนหลัง) การฟื้นตัวยังคงไม่ราบรื่นจากความเสี่ยงในด้านการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอาจทำให้เกิดความล่าช้าในด้านการขนส่งและต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น

- Advertisement -