บล.บัวหลวง:
SCG Packaging (SCGP TB / SCGP.BK)
SCGP – กำไรไตรมาส 4/66 ต่ำกว่าคาด แต่กำไรหลักไตรมาส 1/67 มีแนวโน้มฟื้นตัว
ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาด
SCGP รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/66 ที่ 1,219 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 171% YoY แต่ลดลง 8% QoQ หากไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 100 ล้านบาท กำไรหลักจะอยู่ที่ 1,318 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% YoY แต่ลดลง 7% QoQ ซึ่งต่ำกว่าประมาณการของเรา 14% (และต่ำกว่าตลาด 13%) เนื่องจาก อัตราภาษีจ่ายที่สูงกว่าคาด SCGP ประกาศเงินปันผลต่อหุ้นสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2566 ที่ 0.30 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลขั้นต้นที่ 1.0% (จะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 2 เม.ย. และจะจ่ายเงินปันผลวันที่ 22 เม.ย.)
ประเด็นสำคัญจากผลประกอบการ
ปัจจัยหนุนการเติบโตของกำไรหลัก YoY ได้แก่ 1) อัตรากำไรที่สูงขึ้นในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร (ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนการดำเนินงานซึ่งหลักๆเป็นต้นทุนพลังงานที่ลดลง) และธุรกิจเยื่อและกระดาษ (ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น) และ 2) อัตราภาษีจ่ายที่ลดลง ในขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กำไรหลักลดลง QoQ คือ 1) กำไรที่ลดลงของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร (ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายภาษีที่สูงขึ้น) และ 2) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น (อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร/ยอดขายอยู่ที่ 12.2% เพิ่มขึ้นจาก 12.1% ในไตรมาส 3/66) อย่างไรก็ตามกำไรจากธุรกิจเยื่อและกระดาษที่สูงขึ้น (ปริมาณขายและราคาขายที่สูงขึ้น) ช่วยบรรเทาการลดลงของกำไร หลัก QoQ
EBITDA margin ของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรอยู่ที่ 15% เพิ่มขึ้นจาก 11% ในไตรมาส 4/65 (ทรงตัว QoQ) ในขณะที่ EBITDA margin ของธุรกิจเยื่อและกระดาษในไตรมาสนี้อยู่ที่ 16% เพิ่มขึ้นจาก 13% ทั้งในไตรมาส 4/65และไตรมาส 3/66 ทั้งนี้ EBITDA margin รวมอยู่ที่ 14% เพิ่มขึ้นจาก 11%ในไตรมาส 4/65 และ 13% ในไตรมาส 3/66
แนวโน้ม
เราคาดว่ากำไรหลักจะเติบโต YoY และ QoQ ในไตรมาส 1/67 โดยมีปัจจัยหนุนมาจากทั้งธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรและธุรกิจเยื่อและกระดาษ โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น (ความต้องการที่ฟื้นตัวในประเทศไทยและ ฟิลิปปินส์), ราคาขายที่สูงขึ้น (สำหรับกระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อกระดาษ),และอัตรากำไรที่สูงขึ้น (สำหรับทั้งธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรและธุรกิจเยื่อและกระดาษ)
สิ่งที่เปลี่ยนแปลง
เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ที่ 6,805 ล้านบาท ไม่เปลี่ยนแปลง
คำแนะนำ
การเติบโตของกำไรไตรมาส 1/67 น่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป และมีอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรของเราจากการเข้าซื้อกิจการใหม่ๆ ราคาหุ้น ปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยซื้อขายที่ PER ปี 2567 อยู่ที่ 19.6 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 4 ปีที่ 31.8 เท่า อยู่ 38%) ซื้อ!