กรุงศรี และ MUFG หนุนเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน จับมือพันธมิตร ดันสตาร์ทอัพเวียดนามโตสู่สากล
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ร่วมมือกับมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) สถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นและเป็นกลุ่มสถาบันการเงินชั้นนำของโลกเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน ผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลงและความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือทางธุรกิจครั้งสำคัญกับศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติเวียดนาม (Vietnam National Innovation Center หรือ NIC) เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศของธุรกิจสตาร์ทอัพที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ พร้อมผลักดันธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศเวียดนามให้สามารถเติบโตก้าวไกลในระดับสากล
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ภายใต้แผนธุรกิจระยะกลางของกรุงศรี เรามุ่งมั่นดำเนินธุรกิจสู่การเป็น Innovative Bank พร้อมเดินหน้าสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียน ผ่านการแสวงหาความร่วมมือทางธุรกิจในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัล และการพัฒนาด้านดิจิทัลและข้อมูลสารสนเทศ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนสถาบันการเงินให้เติบโตก้าวไกลในระดับภูมิภาค ขณะที่เวียดนามเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและมุ่งให้การสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่อง กรุงศรีมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศดิจิทัลผ่านการสนับสนุนสตาร์ทอัพรุ่นใหม่และอุตสาหกรรมสายเทคต่าง ๆ ในเวียดนามโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังเติบโต”
นายมาซาโอะ โคจิมะ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าส่วนภูมิภาคประจำประเทศเวียดนาม ธนาคาร เอ็มยูเอฟจี จำกัด (MUFG Bank) กล่าวว่า “MUFG Bank ได้ให้การสนับสนุนและผลักดันเวียดนามสู่เวทีโลกผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ มาโดยตลอด ซึ่งจากการสำรวจโดย JETRO พบว่าในปีที่ผ่านมามีนักลงทุนจากญี่ปุ่นให้ความสนใจในการลงทุนกับเวียดนามเพิ่มสูงขึ้น เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่เอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพ และส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามได้อย่างแน่นอน”
นายอู ค็อก ฮุย ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติเวียดนาม (Vietnam National Innovation Center หรือ NIC) กล่าวว่า “NIC มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับกรุงศรีและ MUFG ในครั้งนี้ ทั้งนี้เพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามและนักลงทุนจากประเทศไทยและญี่ปุ่นที่ต้องการลงทุนในธุรกิจสายเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมทั้งส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของเวียดนามให้รุดหน้าและตอบโจทย์ตลาดในระดับสากล ขณะเดียวกัน เราพร้อมให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพจากประเทศไทย ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศอื่น ๆ ที่กำลังมองหาโอกาสในการดำเนินธุรกิจในเวียดนามอีกด้วย”
การลงนามในข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวจัดขึ้นในรูปแบบออนไลน์ เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมี นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) นายบุนเซอิ โอคุโบะ ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) นายอู ค็อก ฮุย ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติเวียดนาม (NIC) นายมาซาโอะ โคจิมะ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าส่วนภูมิภาคประจำประเทศเวียดนาม ธนาคารเอ็มยูเอฟจี จำกัด (MUFG Bank) นายโนบูทาเกะ ซูซูกิ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอ็มยูเอฟจี อินโนเวชัน พาร์ทเนอร์ (MUIP) และนายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด ร่วมลงนาม โดยมีระยะเวลาของแผนการดำเนินงานใน 5 ปี ที่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนกิจกรรม 4 ด้าน ได้แก่
- การส่งเสริมและสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพเวียดนามในระดับสากลผ่านเครือข่ายที่แข็งแกร่งของกรุงศรีและ MUFG
- การแบ่งปันความรู้ และแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจของสตาร์ทอัพในเวียดนามผ่านกิจกรรมต่าง ๆ โดยกรุงศรีฟินโนเวต และ MUFG อาทิ โครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ (Accelerator Program) เป็นต้น
- การจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจสำหรับสตาร์ทอัพในเวียดนาม ไทย ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศอื่น ๆ เพื่อแสวงหาความร่วมมือทางธุรกิจ รวมทั้งโอกาสการลงทุนในระดับสากล
- การสนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์มดาต้าและข้อมูล ที่จะช่วยเติมเต็มความต้องการของธุรกิจสตาร์ทอัพในเวียดนาม และด้านอื่น ๆ ของ NIC
“ด้วยความเชี่ยวชาญของกรุงศรีและเครือข่ายที่แข็งแกร่งของ MUFG เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในเวียดนามได้เป็นอย่างดี และเราพร้อมที่ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในเวียดนามให้เติบโตก้าวหน้าผ่านความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง สู่การเติบโตในระดับภูมิภาคอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นายยามาโตะ กล่าวทิ้งท้าย