บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

PTT Oil & Retail Business (OR)

กำไรปกติ 4Q66 ไม่เด่น

  • Action TRADING (Maintain)
  • TP upside (downside) +9.8%
  • Close Jan 25, 2024 Price (THB) 18.30
  • 12M Target (THB) 20.10
  • Previous Target (THB) 20.10

คาดกำไร 4Q66 ถูกกดดันจากค่าการตลาด

คาดกำไรปกติ 4Q66 ที่ 600 ล้านบาท ลดลง -87% QoQ แม้คาดปริมาณขายน้ำมันรวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6,950 ล้านลิตร (+3% QoQ, ทรงตัว YoY) ตามปัจจัยฤดูกาล หลังได้รับแรงกดดันจาก 1) ค่าการตลาดน้ำมันที่คาดปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 0.70 บาท/ลิตร (-44% QoQ, +46% YoY) หลังราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง ส่งผลให้บริษัทฯ มีการบันทึกรายการ Stock Loss ในช่วง 4Q66 และ 2) ค่าใช้จ่าย SG&A ที่คาดเพิ่มขึ้นเป็น 8,528 ล้านบาท (+16% QoQ, +1% YoY) จากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมการขายและพนักงานที่เร่งตัวขึ้นในช่วงปลายปี ขณะที่ YoY คาดสามารถพลิกเป็นกำไรได้ เนื่องจากสถานการณ์อุปทานน้ำมันในประเทศไม่ตึงตัวเหมือนปีก่อน (โรงกลั่นมีการปิดซ่อมน้อยกว่าช่วง 4Q65) หากกำไรปกติออกมาใกล้เคียงคาด จะส่งผลให้ประมาณการปี 2566 ของเราที่ 11,413 ล้านบาท (+7% YoY) มี Downside ราว 5%

แนวโน้มกำไร 1Q67 ฟื้นตัว QoQ แต่ลดลง YoY

เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 1Q67 ที่ระดับ 2,600-2,800 ล้านบาท ฟื้นตัว QoQ จาก 1) ปริมาณขายน้ำมันรวมที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับ 6,800-7,000 ล้านลิตร 2) ค่าการตลาดน้ำมันที่คาดฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับ 1.00 บาท/ลิตร หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง (ซึ่งจะส่งผลให้มีการบันทึกรายการ Stock Gain) และ 3) ค่าใช้จ่าย SG&A ที่คาดลดลงมาอยู่ที่ราว 7,600-7,800 ล้านบาท/ไตรมาส ตามฤดูกาล ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติจะลดลงเพราะ 1) ปริมาณขายน้ำมันรวมมีแนวโน้มลดลงจากฐานที่สูงในปีก่อน (1Q66 เป็นช่วงที่ OR มีการปรับราคาขายน้ำมันดีเซลลงมาต่ำกว่าผู้ประกอบการบางราย และทำให้ได้รับส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว) และ 2) ค่าใช้จ่าย SG&A ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นตามการขยายสาขาของธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและ Cafe Amazon

คงคำแนะนำ “TRADING” ที่ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 20.10 บาท/หุ้น

เราคงประมาณการปี 2567 ที่ 12,026 ล้านบาท (+5% YoY) และคงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 20.10 บาท/หุ้น มี Upside +9.8% เรามองว่าการฟื้นตัวของราคาหุ้นในระยะสั้น-กลางจะยังคงถูกจำกัดจาก 1) แนวโน้มกำไรในช่วง 4Q66-1Q67 ที่ยังไม่เด่น 2) มาตรการควบคุมราคาน้ำมันของรัฐบาล (กรณีที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นต่อเนื่องภายใต้มาตรการดังกล่าวอาจส่งผลให้ค่าการตลาดได้รับผลกระทบ) และ 3) การทำ M&A ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมายังไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่มีนัยสำคัญให้กับบริษัทฯ ได้ จึงคงคำแนะนำ “TRADING” เชิงกลยุทธ์ หากยังไม่มีสถานะ แนะนำชะลอการลงทุน โดยนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจพิจารณาเข้าเก็งกำไรการฟื้นตัวหลังการรายงานผลประกอบการ 4Q66 (คาดรายงานวันที่ 13 ก.พ.) หากราคาหุ้นปรับตัวลงมาที่แนวรับระดับ 17.50 บาท +/-

- Advertisement -