บล.เอเซีย พลัส:

GULF คาดกำไรปกติยังทำ New high รายไตรมาสใน 4Q66

คาดกำไรสุทธิงวด 4Q66 เพิ่มขึ้น 48.7%QOQ มาอยู่ที่ 5.0 พันล้านบาท หนุนจากกำไรพิเศษ FX และอนุพันธ์ 642.5 ล้านบาท จากเดิมขาดทุน 842.2 ล้านบาทในงวด 3Q66 รวมถึงคาดกำไรปกติเติบโต 3.6%QOQ มาอยู่ที่ 4.4 พันล้านบาท ขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง หนุนจากส่วนแบ่งกำไร BRK2 และ JACKSON ที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงรับรู้ GPD PHASE 2 ในครั้งแรก แม้ภาครัฐจะเรียกซื้อไฟจากกลุ่ม IPP น้อยลงก็ตาม งวด1Q67 คาดกำไรปกติยังทรงตัวสูง QOQ แม้จะผ่านพ้นช่วง PEAK ของลมมาแล้ว แต่คาดชดเชยได้จากปริมาณขายไฟฟ้า IPP ที่เพิ่ม QOQ

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และFV ปี 2567 ที่ 63 บาท/หุ้น ราคาหุ้นปัจจุบันมี UPSIDE สูง ประกอบกับช่วงสั้นยังมีปัจจัยหนุนจากคาดการณ์ผลประกอบการ 4Q66 ที่สดใส อีกทั้งภาพกำไรช่วง 2-3 ปีข้างหน้ายังเห็นการเติบโตที่แข็งแกร่ง คงคำแนะนำ OUTPERFORM โดยเน้นหาจังหวะทยอยสะสมลงทุนในระยะยาว

คาดกำไรปกติ 4Q66 ทำ New high ใหม่รายไตรมาสต่อเนื่อง

ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิงวด 4Q66 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 48.7%qoq มาอยู่ราว 5.0 พันล้านบาท หนุนหลักจากกำไรพิเศษที่สุทธิแล้วคาดจะมีการบันทึกกลับเป็นกำไร Fx และตราสารอนุพันธ์ของทั้งบริษัทใหญ่และบริษัทร่วมราว 642.5 ล้านบาท เทียบกับงวด 3Q66 ที่เป็นผลขาดทุน 842.2 ล้านบาท โดยหลักมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นงวด 4Q66

อีกทั้งคาดกำไรปกติจะเติบโตขึ้นทำระดับสูงสุดรายไตรมาสเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องอีก 3.6%qoq มาอยู่ราว 4.4 พันล้านบาท หนุนหลักจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม (ไม่รวมผลกระทบ Fx และตราสาอนุพันธ์) ที่คาด
ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.7%qoq มาอยู่ที่ 3.2 พันล้านบาท จากผลประกอบการของโรงไฟฟ้าพลังงานลม BRK2 ประเทศเยอรมนี กำลังการผลิต 116.2 MWe ที่ผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น จากกระแสลมที่ฟื้นตัวตามการเข้าสู่ช่วง High season ใน 4Q66 รวมถึงโรงไฟฟ้า Jackson ในสหรัฐฯ กำลังการผลิต 588 MWe ที่คาดผลประกอบการดีขึ้น QoQ จากผลบวกของราคาก๊าซฯในสหรัฐที่สูงขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำกำไรจากค่าความร้อน (Heat rate) ปรับตัวดีขึ้น ถึงแม้คาดผลประกอบการของกลุ่มโรงไฟฟ้า GJP จะอ่อนตัว QoQ จากภาครัฐฯ (EGAT) ที่เรียกซื้อไฟน้อยลงตามช่วง low season ของการใช้ไฟใน 4Q66 ก็ตาม

นอกจากนี้คาดรายได้จากการขายไฟฟ้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.5%qoq มาอยู่ราว 2.8 หมื่นล้านบาท หนุนหลักจากการรับรู้โครงการโรงไฟฟ้า GPD phase 2 กำลังการผลิต 463.8 MWe ได้ในไตรมาสแรก (เปิด COD วันที่ 1 ต.ค. 2566) ถึงแม้คาดปริมาณขายไฟฟ้าของกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP จะปรับตัวลดลง QoQ ตามการเรียกซื้อไฟฟ้าเรียกซื้อไฟฟ้าของ EGAT ที่น้อยลง หลังภาครัฐเรียกซื้อไฟฟ้าจาก GULF ครบตามกำหนดสัญญาก่อนสิ้นสุดงวด 4Q66 รวมถึงกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP มีรายได้ลดลงตามการปรับลดค่า Ft งวด ก.ย.- ธ.ค. 2566 ลง 70.71 สตางค์/หน่วย มาอยู่ที่ 20.48 สตางค์/หน่วย ก็ตาม โดยรวมแล้ว คาดกำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้น 3.8%qoq มาอยู่ที่ 5.8 พันล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดอยู่ที่ 19.8% จาก 20.3% ในงวด 3Q66

แต่อย่างไรก็ตาม คาดจะไม่มีการบันทึกปันผลรับ 120.5 ล้านบาท ตามรอบการจ่ายปันผลของ JASIF และ SPCG ดังที่เกิดขึ้นในงวดก่อนหน้า รวมถึงค่าใช้จ่าย SG&A ที่คาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 46.3%qoq มาอยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท จากค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้นเป็นปกติในช่วงปลายปี

โดยรวมแล้วคาดกำไรปกติทั้งปี 2566 อยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 30.4%yoy และสอดคล้องกับกำไรปกติทั้งปี 2566 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้

คงประมาณการกำไนปี 2567 เติบโต 29.5%yoy…1Q67 คาดกำไรปกติทรงตัวสูง QoQ

เบื้องต้น ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2567 ที่ 2.0 หมื่นล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 29.5%yoy โดยหลักมาจากการรับรู้โครงการใหม่ๆ ที่เริ่มทยอย COD ตามแผนเข้ามาในปี 2567 ราว 1.6 พัน MWe รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่คาดจะเริ่มเห็นการทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป YoY จากราคาก๊าซฯที่คาดจะเริ่มปรับตัวลดลงเข้าสู่สมดุลมากยิ่งขึ้น ภายใต้สมมติฐานราคาก๊าซฯเฉลี่ยปี 2567 อยู่ที่ 350 บาท/ล้านบีทียู ลดลงจาก 400 บาท/ล้านบีทียู ในปี 2566 และค่า Ft ปี 2567 ที่ 0.20 บาท/หน่วย ลดลงจาก 0.89 บาท/หน่วย ในปีก่อนหน้า ภายใต้หลักความระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันต้นทุนพลังงานยังมีความผันผวนสูง จากเหตุการณ์สงครามต่างๆที่ยืดเยื้อ รวมถึงนโยบายต่างๆที่เกี่ยงข้องกับค่าไฟของภาครัฐฯที่อาจยังคงอยู่ต่อเนื่อง ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจะมีการพิจารณาทบทวนสมมติฐานราคาก๊าซฯ และค่า Ft ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่แท้จริงมากยิ่งขึ้นภายหลังจากมีการประกาศปรับค่า Ft ที่ชัดเจนในรอบถัดไป

ช่วงสั้น คาดกำไรปกติงวด 1Q67 ยังทรงตัวได้ในระดับสูงใกล้เคียงงวด 4Q66 แม้คาดส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมจะอ่อนตัว QoQ หลังออกจากช่วง High season ของกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานลมทั้งในไทย และเยอรมนีมาแล้วในงวด 4Q66 แต่คาดจะได้แรงหนุนชดเชยจากปริมาณขายไฟฟ้าโดยรวมที่เพิ่มขึ้น QoQ หลังผ่านพ้นช่วง low season ของการเรียกซื้อไฟในกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP มาแล้วในงวด 4Q66 และคาดจะรับรู้โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง phase 1 กำลังการผลิต 377.3 MWe ที่คาดจะเริ่มเปิด COD ตามแผน ในช่วงเดือน มี.ค. 2567 ขณะที่อัตรากำไร (GPM) ในกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP คาดยังทรงตัวใกล้เคียงในระดับเดิม QoQ

การประกอบธุรกิจตามหลักความยั่งยืน (ESG) ของ GULF:

ด้านสิ่งแวดล้อม (ENVIRONMENT) : บริษัทฯมีการประเมินโอกาสและความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ทั้งในแง่ความเสี่ยงทางกายภาพ (PHYSICAL RISK) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านหรือการเปลี่ยนแปลงนโยบาย (TRANSITION RISK) อีกทั้ง มีการประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับความเพียงพอของน้ำและสภาวะการขาดแคลนน้ำซึ่งอาจมีผลกระทบด้านการปฏิบัติการ และอาจมีผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียภายนอกองค์กร นอกจากนี้ยังมีการประเมินความเสี่ยงจากผลกระทบทางกายภาพ เช่น การเกิดพายุหรืออุทกภัยที่อาจมีผลกระทบด้านการปฏิบัติการ และมีการติดตามปัจจัยต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศท้องถิ่น เช่น ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ คุณภาพอากาศและน้ำ และความปลอดภัยของกระบวนการผลิต เป็นต้น โดย GULF มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ก่อนจะเริ่มก่อสร้างโครงการใดๆ มีการตรวจสอบการปล่อยมลสารทางอากาศ และคุณภาพของน้ำ และจัดทำการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (CARBON FOOTPRINT) และการใช้น้ำ (WATER FOOTPRINT) ทุกปี

ด้านสังคม (SOCIAL) : ให้ความสำคัญกับการติดตามและบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจส่งผลถึงสุขอนามัย และความปลอดภัยของพนักงาน ผู้รับเหมา และชุมชนท้องถิ่น โดยมีมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดและนำเครื่องมือดิจิทัลมาใช้ในทุกโครงการ รวมถึงจัดอบรมด้านความปลิดภัยให้แก่พนักงาน และผู้รับเหมาอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ GULF ยังได้เปิดรับฟังความเห็นและความพึงพอใจของกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียเป็นประจำ เพื่อมุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม

ธรรมาภิบาล (GOVERNANCE) : ยึดหลักธรรมาภิบาลในการประกอบธุรกิจ ซึ่งในปี 2564 บริษัทฯได้ยกระดับการประเมินความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลกิจการ และการควบคุมภายใน ด้วยการพัฒนากระบวนการประเมินความเสี่ยงด้านการทุจริตคอรรัปชันตามหลักเกณฑ์ของแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC: COLLECTIVE ACTION AGAINST CORRUPTION) อีกทั้ง ยังจัดให้พนักงานทุกคนเข้ารับการอบรมและผ่านการทดสอบเรื่องจรรยาบรรณทุกปี และจัดให้มีการตรวจสอบภายในโดยหน่วยงานตรวจสอบภายในอิสระ ตามเกณฑ์
กฎหมายและมาตรฐานสากล นอกจากนี้ GULF ได้ประกาศเจตนารมณ์เข้าร่วม CAC ในปี 2563 ได้มีการพัฒนาหลักสูตรการอบรมเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันเพิ่มเติม และปรับปรุงนโยบายการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน รวมถึงแต่งตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน

ประเด็นความเสี่ยง

  1. โครงการโรงไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างอาจไม่สามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้ตามแผน (CONSTRUCTION RISK)
  2. การหยุดซ่อมฉุกเฉินของโรงไฟฟ้า (UNPLANNED SHUTDOWN)
  3. ความเสี่ยงจากความผันผวนของ FX และอัตราดอกเบี้ยเพราะ GULF กู้เงินลงทุนโรงไฟฟ้า บางส่วนด้วยสกุลเงินต่างประเทศ
- Advertisement -